เปลี่ยนการแสดงผล
จำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซด์
วันนี้
3538
เดือนนี้
55384
เมื่อวาน
3631
เดือนที่แล้ว
38688
โลกนี้คือละคร
23 มิถุนายน 2564 3,875 ครั้ง
โลกนี้คือละคร

  “โลกนี้นี่ดูยิ่งดูยอกย้อน เปรียบเหมือนละคร ถึงบทเมื่อตอนเร้าใจ บทบาทลีลาแตกต่างกันไป ถึงสูงเพียงใด ต่างจบลงไปเหมือนกัน”  

  เนื้อเพลงท่อนหนึ่งจากเพลงอมตะนิรันดร์กาล โลกนี้คือละคร ซึ่งถ่ายทอดผ่านนักร้องในยุคสมัยต่างๆ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน อาทิ คุณปรีชา บุณยเกียรติ  คุณสุเทพ วงศ์กำแหง คุณอุเทน พรหมมินทร์ และอีกหลายๆท่านที่ได้ขับกล่อมบทเพลงนี้ เชื่อว่าคอเพลงไทยหลายท่านได้รับรู้ถึงการบรรยายและลีลาของเพลงนี้ได้เป็นอย่างดี เพลงนี้บรมครู ไพบูลย์ บุตรขัน เป็นผู้แต่งทั้งคำร้องและทำนองโดยท่านได้เปิดเผยว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ที่ทรงแปลจากบทละครของ วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ เรื่อง โรมิโอและจูเลียต

  ศิลปินแต่ละท่านในช่วงที่พีคของอาชีพก็ย่อมเป็นไอดอลของใครหลายๆคน ไม่ว่ายุคสมัยไหนๆ อาชีพในฝันของวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็คืออยากเป็นดารา นักแสดง นักร้อง  ผมก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น วัยรุ่นที่อยากเป็นศิลปินดารา  เดี๋ยวนี้เค้ามีโรงเรียนการแสดงในสาขาต่างๆ ทั้งไกลบ้านและใกล้บ้านให้เลือกหาเอาตามกำลังทรัพย์  แต่พอได้เรียนเข้าจริงๆ มันไม่ง่ายเลยที่จะแสดงให้เป็นตัวละครตามบทบาทสมมุติ  อินไปตามบทบาทการแสดงให้เป็นธรรมชาติ  คนดูแล้วเชื่อว่าเป็นคนในตัวแสดงนั้นจริงๆ พอคิดแล้วคงจะยากที่จะได้เป็นดาราเพราะถ้าเราไม่มีสังกัด ไม่มีคนรู้จักในวงการก็ยากที่จะได้เข้าวงการ  เปลี่ยนความฝันใหม่แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปเดิมคือสายบันเทิง  เป็นนักแสดงไม่ได้เป็นนักร้องนักดนตรีก็ได้ พ่อของผมเป็นนักดนตรีมือระนาดเอกของวงปี่พาทย์  ผมเลยมีพื้นฐานของดนตรีอยู่บ้างซึมซับมาตอนที่ดูพ่อตีระนาดนี่แหละ  ก็คนมันมีเลือดศิลปินอยู่ในตัวอะนะ...   ลุยต่อครับรวมรวมเพื่อนๆ จัดตั้งวงดนตรีของตัวเองซื่อวง “สังขยา” สายหวานซะด้วย  ผมเป็นเป็นมือคีย์บอร์ดประจำของวง   ตอนนั้นบ้านใครมีงานบวช งานแต่ง งานวัด ก็ไปขอเขาเล่น  บางงานเล่นแลกเหล้า บางครั้งเล่นฟรีก็เอา  ทุกอย่างกำลังจะไปได้ดีเริ่มมีคนสนใจติดต่อให้ส่งเทปเข้าไปที่ค่ายเพลง  แต่ก็ไปต่อไม่สุดเพราะนักร้องนำของวงประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต มือกลองก็ไปเกณฑ์ทหารจับได้ใบแดง วงแตกไปโดยอัตโนมัติ 

  เมื่ออยู่เบื้องหน้าไม่ได้  ก็เปลี่ยนไปเป็นเบื้องหลังละกัน  ไปเรียนนิเทศศาสตร์เพื่อศึกษาจะได้ทำงานเบื้องหลังอย่างจริงจัง  พอเรียนจบแล้วก็คิดว่าจะทำอะไรที่มีความมั่นคงและยังอยู่ในสายงานที่ตัวเองรักเลยตัดสินใจสอบ ก.พ. ตำแหน่งนักวิชาการเผยแพร่  เอาล่ะครับทีนี้ได้ทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังอย่างที่อยากจะทำไม่ว่าจะเป็นนักจัดรายการวิทยุ  พิธีกร  เขียนบทสารคดี  กำกับและตัดต่องานสารคดี   ตากล้อง  ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและสนุกที่สุดของชีวิต  ได้ทำงานที่เรารัก เดินสายทำงานเกือบทั่วประเทศ  เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีที่แปลกใหม่ วันๆ แทบจะไม่ได้อยู่บ้านชีวิตอยู่ที่ทำงาน กับอยู่ต่างจังหวัด  ตอนนั่นโสดครับเลยไม่ต้องห่วงอะไร  แต่เมื่อเรามีครอบครัว  ภารกิจหน้าที่การงานเรามากขึ้น  บทบาทของเราก็ย่อมเปลี่ยนไป  เราก็ต้องแสดงไปตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย  อาจจะดีบ้างไม่ดีบ้าง  แต่ก็พยายามแสดงบทบาทที่ตัวเองได้รับให้ออกมาดีที่สุด   

  ทุกๆ คนสามารถเป็นนักแสดงได้โดยไม่ต้องเป็นดาราอยู่หน้ากล้องหรือมีชื่อเสียง   เมื่อใดที่ยังคงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารก็จะต้องแสดงบทบาทต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ลองคิดดูเล่นๆก็ได้ เกิดเป็นมนุษย์ใน 1 ชาติ ก็ต้องแสดงมากมายหลายบทบาทเหลือเกิน แค่เกิดเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งก็มีตั้งหลายบทบาทมาตั้งแต่แรกเกิด รับบทแรกเป็นเด็ก เป็นลูกของพ่อแม่  แล้วรับบทเป็นพี่ของน้อง ตอนนี้รับบทเป็นสามี พออีกหน่อยรับบทเป็นพ่อ แล้วก็รับบทเป็นลุง เป็นปู่ เป็นอะไรต่อมิอะไรเรื่อยไป ถ้ายังยึดติดในบทบาท ถ้ายังคิดว่าเป็นอัตตาตัวตนของตนจริงๆ จะไม่มีวันพบกับความสงบได้เลย เพราะทุกบทบาทมีแต่ความวุ่นวาย ความหนักอกหนักใจทั้งสิ้น หากชีวิตจริงเราได้รับบทเป็นพ่อ  แม่  พี่  น้อง  เพื่อน  เจ้านาย  ลูกน้อง  เราก็ต้องแสดงบทบาทของเราให้ดีที่สุด อาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจผู้ชมบ้าง  แต่เมื่อมีการติชม เราก็นำมาปรับปรุงการแสดงของเราไปตามสถานการณ์  ให้ถูกใจผู้ชมให้มากที่สุดเท่านั่นเป็นพอ

เขียนโดย "เจริญพร"
ภาพและวีดีโอ