เปลี่ยนการแสดงผล
จำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซด์
วันนี้
1401
เดือนนี้
53247
เมื่อวาน
3631
เดือนที่แล้ว
38688
#กิเลสสู้กับสติ
27 สิงหาคม 2564 250 ครั้ง
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ปุถุชนย่อมเต็มไปด้วยกิเลส มีทั้งโลภ โกรธ หลง เป็นธรรมดา แต่กิเลสล้วนแต่เป็นสิ่งทำให้เกิดความทุกข์ เกิดความเศร้าหมองทางจิตใจ เกิดความเสื่อมหรือความหายนะแก่ชีวิตตนเอง ยังปรากฎให้เห็นเป็นตัวอย่างมากมายที่มีความโลภในทรัพย์สินของผู้อื่นสุดท้ายย่อมจบด้วยความทุกข์จากการแพ้ภัยในความโลภแห่งกิเลสของตนเอง
หากเข้าใจตรงกันแล้วว่ากิเลสเป็นตัวนำความเสื่อม ความหายนะมาสู่ตัวเรา ความสำคัญในการดำรงชีวิตของแต่ละคนจึงขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถควบคุมกำกับกิเลส ของตนเองได้มากน้อยกว่ากัน ความสุขย่อมเกิดมากกว่าทุกข์สำหรับคนที่ควบคุมกำกับกิเลสได้มากกว่าคนที่ควบคุมกำกับกิเลสได้น้อยกว่า ทว่าการควบคุมกำกับกิเลสนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายหากเราไม่มีการฝึกฝนในการเจริญสติ เพราะการพัฒนากิเลสนั้นรวดเร็วมากเพราะอยู่ในช่วงการขาดสติ ตื่นรู้ เตือนตนให้แยกผิดชอบ ชั่วดี ประหนึ่งเป็นอาการเหมือนกับคนหน้ามืดตามัวไปชั่วขณะ ครั้นเมื่อพอมีสติกลับมาตามเดิมก็อาจจะสายเกินไปเสียแล้วเพราะในขณะนั้นขาดปัญญาที่จะไตร่ตรองนั่นเอง ในทำนองเดียวกันการปฏิบัติการฝนหลวงหรือการล่าเมฆมาเป็นฝนให้แก่พี่น้องประชาชนก็ต้องใช้สติมาเป็นตัวควบคุมกำกับกิเลสไม่ใช่น้อย เพราะด้วยความที่อยากจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่กำลังเดือดร้อนอยู่อย่างเต็มที่ ทำอย่างไรจะได้ฝนลงมาภายใต้ความกดดันในแต่ละวันจากความคาดหวังของผู้คนที่อยู่ใต้ฟ้าอาจทำให้ขาดสติไปชั่วขณะบ้าระห่ำที่จะต้องล่าฝนลงมาให้ได้ การจะขึ้นไปล่าเมฆพวกเราต้องอาศัยอากาศยานในการนำทีมพวกเราเหล่านักล่าเมฆไปยังกลุ่มเมฆเป้าหมาย ซึ่งกลุ่มเมฆเหล่านี้มีทั้งเมฆที่เชื่อง และเมฆที่ดุร้าย เหมือนกับอารมณ์ของคนที่มีโอกาสแปรปรวนได้เสมอ เมฆก้อนที่เชื่องในการเข้าไปทำงานจะราบรื่นมากกว่าเมฆก้อนที่ดุร้ายดุดัน เปรียบเสมือนการขี่ม้าที่สอนจนเชื่องก็จะขี่ได้ง่ายกว่าม้าที่พยศ การเข้าไปทำงานในก้อนเมฆจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องเรดาร์ตรวจวัดสภาพอากาศ หรือ weather radar ช่วยชี้นำทางแก่พวกเรา
weather radar จึงเสมือนเครื่องเตือนสติให้เราต้องใช้ปัญญาหาทางหนีทีไล่ให้ดีในระหว่างการมุดเข้าไปในก้อนเมฆขนาดใหญ่ที่พวกเราพยายามจะทะลุทะลวงพุงเมฆขนาดใหญ่นี้ให้แตกทะลักทลายกลายเป็นหยาดฝนด้วยสารฝนหลวงตกลงมาสู่พื้นดินอันแล้งผากของพี่น้องเกษตรกร เพราะในก้อนเมฆขนาดใหญ่นั้นสภาพอากาศมีความแปรปรวนเป็นอย่างมาก พลังจากความแปรปรวนของสภาพอากาศนั้นมากมายมหาศาลสามารถที่จะยกอากาศยานลำน้อยๆของพวกเราให้ปลิวลอยละล่องขึ้นไปบนยอดเมฆได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับคลื่นสึนามิที่ซัดเรือให้ลอยขึ้นไปบนยอดคลื่นอย่างรวดเร็วหรือบางทีก็จะถูกกดให้จมดิ่งลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็วราวกับกระโดดบันจี้จั้มเสียวไส้เสียวพุงกันไป ถ้ามันรุนแรงมากๆก็อาจทำให้อากาศยานเกิดความเสียหายจนไม่สามารถบังคับได้และตกกระแทกสู่พื้นดินได้ อย่างที่บอกด้วยความมุ่งมั่น ประกอบกับความโลภในการที่จะไล่ล่ากลุ่มเมฆเป้าหมายให้หมดเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้มากที่สุดในแต่ละเที่ยวบิน ถ้าหากไม่มีเตรียมการเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ให้ดี สำรองในคราวจำเป็น ไล่ล่าเมฆกันจนเพลิน ขณะบินกลับสู่ฐานที่ตั้งดันมาเจอเหตุฝนตกบริเวณสนามบินลงจอดไม่ได้จะต้องบินวนรอจนกว่าสภาพอากาศบริเวณสนามบินมีทัศนวิสัยดีขึ้น หรือจะต้องบินไปลงจอดสนามบินอื่น ถ้าน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เพียงพอเครื่องยนต์หยุดทำงานกลางเวหา นั่นก็หมายถึงชีวิตและทรัพย์สินของทีมนักล่าเมฆทุกคนย่อมจบลง
ดังนั้นการมีสติ ตื่นรู้ ตลอดเวลาจึงเป็นหัวใจสำคัญแห่งความสำเร็จและปลอดภัยของพวกเราชาวนักล่าเมฆเช่นกัน...

เขียนโดย"ฟ้าโปรย"
#หยุดในสิ่งที่ควรหยุดพัฒนาในสิ่งที่ควรพัฒนา

ภาพและวีดีโอ