#ตราสัญลักษณ์มงคล

38 ปีกับการปฏิบัติการฝนหลวงภายใต้กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง หมอกควันและไฟป่า การเติมน้ำให้เขื่อน และลุ่มรับน้ำต่างๆ ตลอดจนการยับยั้งและบรรเทาความรุนแรงจากพายุลูกเห็บ และปัญหาดังกล่าวนับจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ รัฐบาลจึงก่อตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2556 ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2556 โดยมีวิวัฒนาการดังนี้

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2518 มีพระราชกฤษฎีกาก่อตั้งสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง (Royal Rainmaking Research and Development Institute, RRRDI) ภายใต้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นหน่วยงานสนองโครงการพระราชดำริฝนหลวง ในการช่วยแก้ไขปัญหาภัยแล้ง

ต่อมาวันที่ 15 กันยายน 2535 ได้มีการรวมสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง และกองบินเกษตร เป็นหน่วยงานเดียวกันก่อตั้งเป็น สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร(Bureau of Royal Rainmaking and Agricultural Aviation, BRRAA) เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงให้แก่เกษตรกรและประชาชน รวมทั้งเติมน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำต่างๆ วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการดัดแปรสภาพอากาศ และบินบริการสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งบินสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการเกษตรของส่วนราชการอื่น

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งกรมฝนหลวงและ การบินเกษตร และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอเรื่องต่อคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการ พิจารณาต่อไป

วันที่ 14 มกราคม 2556 พระราชบัญัติ ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม(ฉบับที่ 10) พ.ศ.2556 (จัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎากี เล่ม 130 ตอนที่ 40ก วันที่ 24 มกราคม 2556 ให้สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น กรมฝนหลวงและการบินเกษตร (Department of Royal Rainmaking and Agricultural Aviation,DRRAA) โดยมี วิสัยทัศน์ และพันธกิจดังนี้

วิสัยทัศน์
กรมฝนหลวงและการบินเกษตรเป็นองค์กรชั้นนำในระดับโลกด้านการดัดแปรสภาพอากาศตามศาสตร์ของพระราชาภายในปี 2580

พันธกิจ
1. บริหารจัดการน้ำในชั้นบรรยากาศให้เกิดฝนในปริมาณ และการกระจายที่เหมาะสมเพื่อการพัฒนาการเกษตร การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำการอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ และการบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างบูรณาการ
2. วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการทำฝน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำในชั้นบรรยากาศ และการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อรองรับการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติอันเนื่องมาจากความผันแปรของภูมิอากาศและสภาวะโลกร้อน
3. บริหารจัดการด้านการบินในภารกิจการทำฝน การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และภารกิจด้านการเกษตร

ในหลวงร.9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ ตราสัญลักษณ์ประจำกรมซึ่งมีความหมาย ดังนี้

1.พระปรมาภิไธย "ภปร." อยู่ภายใต้ พระมหาพิชัยมงกุฏ ครอบอยู่เหนือพญานาค หมายถึง พระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงทุ่มเทประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีฝนหลวงขึ้นมา เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่พสกนิกรของพระองค์ และ หมายถึง ร่มพระบารมีที่แผ่ปกป้องคุ้มครองผู้ปฏิบัติงาน ในโครงการพระราชดำริฝนหลวง

2.พญานาคพ่นน้ำ หมายถึง เทพเจ้าแห่งการให้น้ำ และความอุดมสมบูรณ์แก่สรรพชีวิตทั้งปวง พญานาคมีปีกพ่นน้ำ เปรียบเสมือนเทพเจ้า ที่สามารถบินไปให้น้ำทางอากาศ หรือพ่นน้ำจากฟ้าลงมาสู่ดิน

3.เบื้องล่างมีอักษรว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตร

ตราสัญญลักษณ์อันมีพระปรมาภิไธย ภปร และ ชื่อกรมในภาษาอังกฤษมีคำว่า Royal นำหน้า ยังความปลาบปลื้มอันหาที่สุดมิได้

กรมฝนหลวงฯ จึงได้จัดทำตราสัญญลักษณ์ดังกล่าว ขึ้นจากไม้พยุง ขนาดสูง 109 ซม. กว้าง 84 ซม. โดยสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร เพื่อความเป็นมงคลต่อชาวกรมฝนหลวงสืบไป ตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ภายในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เลขที่ 50 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ซึ่งเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชมได้ในวันและเวลาราชการ

จึงนับได้ว่าตราสัญญลักษณ์กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นสิ่งสำคัญลำดับที่ 9 ของ 9 ใน 9 สิ่งสำคัญสัมพันธ์ฝนหลวงนั่นเอง...

#มงคลย่อมอยู่กับผู้ดำรงตนที่ดีต่อผู้ให้
#SaveThailand
#SaveRainmakingTeam
#Saveบุคลากรทางการแพทย์
#แล้งนี้ต้องรอด
#โควิด19พวกเราต้องรอด
.
เขียนโดย "ฟ้าโปรย"