#มนุษย์กับความเชื่อ
มนุษย์ต่างมีความเชื่อว่าโลกแบนมานานนับพันปี จนในที่สุดเมื่อ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสำเร็จเป็นครั้งแรก เมื่อปลายยุคศตวรรษที่ 14 เพื่อพิสูจน์ความเชื่อเรื่องโลกแบน และนับจากนั้นเป็นต้นมา ความเชื่อเรื่องทฤษฎีโลกแบน ก็แทบจะหมดสิ้นไปในที่สุด และถึงแม้ในปัจจุบันที่มีการส่งยานอวกาศหรือดาวเทียมขึ้นโคจรรอบโลก ภาพถ่ายจากยานอวกาศหรือจากดาวเทียมยืนยันว่าโลกกลม แต่ก็ยังมีคนที่เชื่อว่าโลกแบนหลงเหลืออยู่บ้างแต่น้อยมาก เช่น กลุ่มที่ใช้ชื่อว่า Flat Earther ซึ่งทฤษฎีหรือความคิดของบุคคลกลุ่มน้อยเหล่านี้ทางจิตวิทยาจะเรียกว่าทฤษฎีสมคบคิด คนที่มีแนวโน้มยอมรับทฤษฎีสมคบคิดนั้นมีความรู้สึกวิตกจริต (paranoid) ลึกๆ ต่อการใช้ชีวิตในสังคมเป็นทุนเดิม แม้ความวิตกจริตนี้จะไม่จัดเป็นโรค หรือต้องได้รับการบำบัดทางการแพทย์ ไม่จัดอยู่ใน clinical level ที่ต้องได้รับการรักษา แต่ภาวะวิตกจริตนี้แฝงฝังอยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน ถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอย่างจำเจจนกลายเป็นความชินชา บุคคลเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เพื่อน หรือคนใกล้ชิด ที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิดที่เพี้ยนสุดๆ จนแทบจะไม่มีเค้าความจริงเลยก็ตาม แต่การเอาข้อเท็จจริงมาพิสูจน์กันด้วยหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งๆ หน้าก็จะไม่มีวันชนะ หรือทำให้พวกเขายอมรับเห็นด้วยกับคุณ การพยายามตีโต้ด้วยข้อมูลตรงๆ ส่วนใหญ่มักล้มเหลว เพราะการพยายามทำลายความเชื่อของคนอื่นนั้น มักทำให้พวกเขารู้สึกผิด ไม่ได้เป็นการให้ความรู้ เมื่อพวกเขารู้สึกผิดต่อตนเองจะมีแนวโน้มเบี่ยงเบนไปสู่สิ่งอื่น ซึ่งเป็นไปตามศาสตร์ด้านจิตวิทยา
แม้แต่พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านยังเปรียบคนเป็น 4 เหล่า ได้แก่
 1. ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำหมายถึง พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว  เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
 2. ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำหมายถึง พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า ซึ่งจะบานในวันถัดไป
 3. ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำหมายถึงพวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธา ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า  ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
 4. ดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม หมายถึงพวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธา ไร้ซึ่งความเพียร  ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน 
แต่ในความเห็นของผมน่าจะมีอีก 1 ประเภทในยุคปัจจุบัน คือ ดอกบัวเต่าถุย ซึ่งจะแย่กว่าบัวที่จมอยู่กับโคลนตม เพราะบัวที่อยู่ในโคลนตมนั้นยังมีประโยชน์ที่เป็นอาหารเต่า ปลาได้ แต่บัวประเภทที่ 5 นี้แม้แต่เต่าปลายังไม่อยากได้เป็นอาหาร จะเห็นว่าด้านจิตวิทยายังมีทฤษฎีสมคบคิดดังที่กล่าวมาแล้ว และยากที่จะสร้างความเข้าใจกับบุคคลเหล่านั้นด้วยข้อเท็จจริง ในขณะที่ทางพระพุทธศาสนายังได้เปรียบคนออกเป็นดังดอกบัว 4 เหล่า แต่ผมเองเพิ่มเติมให้อีก 1 เหล่าให้เหมาะกับยุคปัจจุบัน ดังนั้นการเกิดทฤษฎีใหม่ๆ ถึงแม้จะมีการพิสูจน์ยืนยันด้วยหลักวิทยาศาสตร์ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม ก็ย่อมจะยังมีคนเห็นต่างอย่างแน่นอน แม้แต่โครงการพระราขดำริฝนหลวงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงศึกษา ค้นคว้า ทดลองกว่าจะสำเร็จใช้ระยะเวลาถึง 14 ปีในการทดลองจริงครั้งแรก และทดลองต่อเนื่องมาจนทรงมั่นพระทัยในโครงการนี้ ในปี 2516 ทรงตั้งหน่วยดำเนินการฝนหลวงเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในการบรรเทาทุกข์บำรุงสุขด้านการขาดแคลนน้ำ และได้รับทูลเกล้าถวายสิทธิบัตรทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนรางวัลต่างๆมากมายในระดับโลกสำหรับโครงการฝนหลวงนี้
ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลของพระองค์ท่าน ทรงมีพระปฐมบรมราโชวาทพระราชทานแก่คณะปฏิบัติการค้นคว้าทดลองชุดเริ่มแรก ในพระบรมราชวโรกาสเสด็จมาประกอบพระราชกรณียกิจเป็นครั้งแรก ณ สนามบินบ่อฝ้าย จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2512 ความว่า
 1. การวิจัยและค้นคว้าทดลองเป็นสิ่งสำคัญต้องดำเนินการต่อเนื่องไป เพราะการวิจัยและพัฒนาไม่มึทึ่สิ้นสุด
 2. อย่าท้อใจต่อข้อวิพากษ์วิจารณ์ ให้มุ่งมั่นพัฒนาต่อไป
 3. ให้รวบรวมผลปฏิบัติการและประสบการณ์แล้วบันทึกไว้เป็นตำราของคนรุ่นหลัง
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ แด่ชาวกรมฝนหลวงฯ ที่ทรงพระราชทานพระปฐมบรมราโชวาทแก่คณะปฏิบัติการค้นคว้าทดลองชุดเริ่มแรก เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2512 ซึ่งชาวกรมฝนหลวงได้น้อมใส่เกล้าใส่กระหม่อม เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเสมอมา

#เปิดหูเปิดตาก็ไม่เท่าเปิดใจ
#SaveThailand
#SaveRainmakingTeam
#Saveบุคลากรทางการแพทย์
#แล้งนี้ต้องรอด
เขียนโดย "ฟ้าโปรย"