เปลี่ยนการแสดงผล
#การขับเคลื่อนงานสำคัญที่ก้าวแรกที่เริ่มเดิน
17 สิงหาคม 2563 203 ครั้ง
#การขับเคลื่อนงานสำคัญที่ก้าวแรกที่เริ่มเดิน
  กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นหน่วยงานเล็ก ๆ ที่ก่อตั้งขึ้นจากพระอัจฉริยภาพด้านงานวิจัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระผู้ทรงคิดค้นเทคโนโลยีฝนหลวง 
ได้รับการยกฐานะจากหน่วยงานระดับกอง ขึ้นเป็นหน่วยงานระดับกรม โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 130 ตอนที่ 8 ก เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556 ให้สำนักฝนหลวงและการบินเกษตรได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น "กรมฝนหลวงและการบินเกษตร" เพื่อให้การบริหารจัดการการปฏิบัติการฝนหลวงเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และมีความคล่องตัวในการบูรณาการภารกิจร่วมกับส่วนราชการอื่น ดังนั้น เมื่อนับถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงถือได้ว่า วันที่ 25 มกราคม ของทุกปี เป็นวันเริ่มก่อตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร
และแน่นอนว่า เมื่อมีการเกิดขึ้นของหน่วยงานตั้งใหม่ ภารกิจสำคัญเร่งด่วนในลำดับต้นภายหลังการปรับโครงสร้างองค์กรเป็นหน่วยงานระดับกรม จึงได้แก่การเร่งจัดทำแผนยุทธศาสตร์กรมให้แล้วเสร็จ เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงาน และเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันการขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ในครั้งนั้น มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการอำนวยการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ฯ (ชุดใหญ่) และคณะทำงานจัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ (ชุดเล็ก)
ซึ่งนำโดย นายสุรสีห์ กิตติมณฑล รองอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ตำแหน่งในขณะนั้น เป็นประธานคณะทำงานชุดเล็ก การทำงานในช่วงนั้นบอกได้เลยว่ามีทั้งสุขทั้งทุกข์ 
ที่บอกว่าสุข ก็เพราะในตอนนั้นเรื่องของยุทธศาสตร์เป็นเรื่องใหม่ เราอาจจะเคยเรียนรู้มาก่อนแต่ไม่มีใครเคยลงมือทำจริงเลยสักคน ทุกคนจึงรู้สึกกระตือรือร้น ตื่นเต้นที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ สิ่งที่พวกเราต้องทำคือช่วยกันระดมสมองกำหนดวิสัยทัศน์องค์กร ช่วยกันคิดว่านับแต่นี้ต่อไป ฝนหลวงจะขับเคลื่อนตัวเองไปในทิศทางใด ด้วยวิธีการอย่างไร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสุดท้ายในสิ่งที่ต้องการ 
พวกเราต้องช่วยกันวิเคราะห์สภาพแวดล้อมองค์กร ว่าที่ผ่านมาเรามีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไร เราจะเปลี่ยนจุดอ่อนให้กลายเป็นจุดแข็งได้อย่างไร อะไรคือโอกาสที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้การทำงานสัมฤทธิ์ผล และอะไรคืออุปสรรคสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน และเราต้องร่วมกันวางกลยุทธ์แก้ไขเพื่อให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนไปได้
ส่วนที่บอกว่าทุกข์ ก็เพราะความที่กรมเราเล็ก คนเราน้อย คนหนึ่งคนเลยต้องทำงานหลายหน้าที่ เวลางานปกติก็ทำงานในหน้าที่ของตัวเองไป หลังเลิกงานก็นัดประชุมกลุ่มย่อย เลิก 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม ถือเป็นเรื่องปกติ เสาร์อาทิตย์ก็ยกทีมไปสุมหัวกันต่อที่ต่างจังหวัด กลับจากต่างจังหวัดก็นัดประชุมกลุ่มย่อยกันต่อ ค่อย ๆ สะสางไปทีละเรื่อง ทีละประเด็นยุทธศาสตร์ คิดจนหัวฟู สมองบวมไปหมด
เป็นอย่างนี้อยู่หลายเดือน จนกระทั่งสุดท้าย ยุทธศาสตร์เริ่มเห็นผลเป็นรูปร่างมากขึ้น เรียกว่าพอจะเอาออกมาโชว์ได้แล้ว กรมจึงจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง "การวิพากษ์แผนยุทธศาสตร์ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร"ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ.2556 ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร โดยเชิญบุคลากรเจ้าหน้าที่ทั้งในสังกัดกรมฝนหลวงและการบินเกษตร  หน่วยงานภายนอก/องค์กรที่เกี่ยวข้อง และผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มาร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ที่จัดทำขึ้นมีความสมบูรณ์ สอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
แม้ยุทธศาสตร์ที่ทำมาในช่วงแรกอาจไม่ใช่ยุทธศาสตร์ที่สมบูรณ์ที่สุด แต่เชื่อว่าทุกคนที่ร่วมทำยุทธศาสตร์ในยุคนั้น ต่างก็มีความภาคภูมิใจ อิ่มเอมใจ และสุขใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างบันไดก้าวแรกของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เพราะการทำงานทุกอย่าง ต้องมีก้าวแรกก่อนจึงจะมีก้าวที่ 2, 3 และ 4 ตามมา และหลายคนในยุคนั้น วันนี้ได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นผู้นำสูงสุดขององค์กรในระดับต่าง ๆ ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตรทั้งสิ้น เพียงแต่ระดับความสำคัญอาจลดหลั่นกันไปตามภารกิจที่รับผิดชอบ
ณ วันนี้ จากความพยายามที่ร่วมกันเรียนรู้กันมาอย่างต่อเนื่องในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กรมของพวกเรา จึงได้ร่วมกันสร้างฝันจนยุทธศาสตร์กรมมีความสมบูรณ์อย่างเต็มที่ในชื่อว่า"แผนปฏิบัติการด้านการดัดแปรสภาพอากาศ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580)" ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้วยน้ำมือและแรงใจของพวกเราชาวฝนหลวงกันเองโดยไม่มีการจ้างที่ปรึกษาเข้ามาช่วยดำเนินการใดๆทั้งสิ้น
สำหรับตนเองแล้วการเข้ามาทำงานที่นี่จนถึงวันนี้ ทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความหมายของประโยคที่พระองค์ท่าน ในหลวงรัชกาลที่ 9  ของปวงชนชาวไทย ทรงตรัสกับข้าราชบริพารที่ตามเสด็จไปในการทรงงาน ความว่า “ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น”
ความเหนื่อยที่แลกมาด้วยความภาคภูมิใจที่ได้สนองงานของพระองค์ท่าน ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม สำหรับคนทำงานแล้วต้องบอกว่าคุ้ม คุ้มมากมาก เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
เขียนโดย "น้ำตาฟ้า"
#ความสำเร็จอยู่ที่การยอมเรียนรู้
#SaveThailand
#SaveRainmakingTeam
#Saveบุคลากรทางการแพทย์
#แล้งนี้ต้องรอด
ภาพและวีดีโอ