เปลี่ยนการแสดงผล
ความรักมันก็เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้นี่แหละ #พลังแห่งความรัก
26 กุมภาพันธ์ 2564 209 ครั้ง
“รัก” คือพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่
ฉันเป็นคนต่างจังหวัด ครอบครัวเล็ก ๆ ของเรามีกัน ๕ คน คือ พ่อ แม่ พี่สาว พี่ชาย แล้วก็ตัวฉันเอง คงเป็นเรื่องธรรมดาของโลกมั้งที่พ่อมักจะรักลูกสาว (คนโต) และแม่มักจะรักลูกชาย ส่วนตัวฉันซึ่งมีสถานะเป็นลูกเหมือนกันแต่ดันเกิดมาในขณะที่พ่อกับแม่มีลูกสาวลูกชายครบแล้ว ก็เลยต้องยอมรับสภาพว่าตัวเองกลายเป็นลูกที่ถูกรักน้อยกว่าพวกพี่ ๆ มาตั้งแต่เด็ก เคยทดสอบกับตัวเองหลายครั้งว่าสิ่งที่คิดเป็นจริงหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าใช่ ถามว่าน้อยใจมั้ย ตอบแบบไม่โกหกก็ต้องบอกว่าน้อยใจมาก เพราะสำหรับเด็กคนนึงที่ยังไม่เติบโตทางความคิดมากพอ เราไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมเวลาที่พี่ชายป่วย แม่จะต้องปลอบประโลมเอาอกเอาใจ ที่สำคัญได้กินโอวัลตินร้อน ๆ ในขณะที่ถ้าเป็นเราป่วย แม่ก็จะดูแลไปแบบงั้น ๆ ไอ้ครั้นจะออดอ้อนเรียกหาโอวัลตินแม่ก็ไม่สนใจ เคยร้องไห้โยเยแม่ก็ไม่เคยปลอบ แถมพูดให้ช้ำใจอีกต่างหาก จะว่าไปแล้วมันก็น่าช้ำใจสำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยังคิดไม่เป็นอย่างฉัน และเมื่อประกอบกับไอ้พี่ ๒ คนของฉันมันดันเป็นคนที่เรียนเก่งทั้งคู่ มีอะไรที่ทำให้พ่อกับแม่ภาคภูมิใจได้ตลอดเวลา ก็เลยยิ่งตอกย้ำความไม่เอาไหนของฉันเข้าไปใหญ่ 

บุคลิกตอนเป็นเด็กของฉันจึงค่อนข้างขี้อาย เงียบ เก็บตัว และอยู่ในกรอบ เวลาที่พี่น้องเล่นกันตอนเด็ก ๆ แล้วทำให้แม่โมโหจนต้องเอาไม้วิ่งไล่ตี พวกพี่ฉันจะฉลาด วิ่งหนีกันไปคนละทิศทางไม่ยอมให้แม่จับได้ ต่างจากฉันที่จะหยุดยืนรอแบบนิ่งสงบ ยอมรับความผิดแต่โดยดี ดังนั้นพอแม่จับได้ก็เลยจะโดนตีหนัก เพราะรวมโทษของพี่ ๒ คนที่วิ่งหนีเข้าไปด้วย ชีวิตวนเวียนอยู่กับความคิดที่ว่าแม่ไม่รักอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งวันหนึ่งโตพอจึงเริ่มคิดได้ว่า ความรักมันก็เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้นี่แหละ เราจะเรียกหาความเท่าเทียมกันทุกเรื่องคงไม่ได้ แม้แต่ตัวเราเอง เรายังรักพ่อมากกว่ารักแม่ การให้ความสำคัญกับร่างกายแต่ละส่วนของตัวเราเองก็ยังไม่เท่ากัน แล้วเราจะคาดหวังให้แม่รักเราเท่ากับที่รักพวกพี่ ๆ ทั้งที่เราไม่เคยทำอะไรให้พวกเค้าภาคภูมิใจเลย จะเป็นไปได้อย่างไร เราเสียเวลาไปกับการที่คิดว่าแม่ไม่รักมามากพอแล้ว ต่อไปนี้ฉันจะเอาเวลาทั้งหมดไปทุ่มให้กับการคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้พ่อแม่รัก แบบนี้น่าจะเกิดประโยชน์กับชีวิตมากกว่า จึงเป็นที่มาของการเริ่มปฏิวัติตัวเอง เพราะต้องพิสูจน์ตัวเองให้พ่อกับแม่เห็นว่าลูกคนเล็กอย่างฉันก็สร้างความภูมิใจให้พ่อกับแม่ได้เช่นกัน 

ฉันต้องใช้ความพยายามในการผลักดันตัวเองเยอะมาก วางแผนตั้งเป้าหมายกับชีวิตชัดเจน ฝึกตัวเองให้มีความพยายามสูง รับผิดชอบต่อตัวเองมากขึ้น จากที่เรียนไม่เก่งเพราะหนังสือไม่เคยอ่าน ก็กลายเป็นคนที่ใช้เวลากับการอ่านหนังสือมากขึ้น เพราะเข้าใจแล้วว่าถ้าเราเก่งไม่เท่าเค้า เราก็ต้องใช้ความพยายามให้มากกว่าเค้า ถ้าอ่านหนังสือรอบเดียวแล้วไม่จำก็อ่านมัน ๕ รอบจะเป็นไรไป เวลาก็มีเหลือเฟือ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็อยู่ที่นั่นแหละ
ผลจากความพยายามอย่างแรงกล้า สุดท้ายฉันสามารถเก็บตกวิชาเรียนที่ปกติต้องใช้เวลาเก็บหน่วยกิต ถึง ๓ ปี ให้สามารถเรียนจบได้ภายใน ๑ ปีครึ่ง พอเรียนจบก็วางแผนสอบ กพ. จนสามารถบรรจุเข้ารับราชการได้ 

วันที่รู้ว่าได้รับการบรรจุเข้ารับราชการ คือวันที่ฉันได้สัมผัสถึงความรักของพ่อและแม่อย่างชัดเจนที่สุด วันนั้นพอพ่อกับแม่รับรู้ว่าฉันสามารถทำลายกำแพงของตัวเองลงได้แล้ว พ่อก็ให้ศีลให้พร อวยพรให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการตั้งแต่วันที่ยังไม่เริ่มต้นทำงานเลยด้วยซ้ำ พี่ชายพอรู้ข่าวไม่ได้พูดอะไรมากแต่เดินขึ้นไปขอจับมือฉันถึงในห้องนอน มือที่สัมผัสบ่งบอกให้รู้ถึงความภาคภูมิใจ ความโล่งใจ เพราะบุคคลที่ทุกคนในบ้านเคยห่วง วันนี้ไม่ใช่ตัวภาระอีกต่อไปแล้ว ฉันเป็นคนหนึ่งที่เชื่อในเรื่องพลังของความรัก แม้ว่ากว่าจะหลุดจากกับดักของความรักมาได้ต้องใช้เวลาใคร่ครวญนานพอสมควร อยากบอกทุกคนว่า ในทุกรูปแบบของความรัก ให้มุมมองที่เป็น ๒ ด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ความรักเพื่อสร้างพลังบวกให้กับชีวิต หรือใช้ความรักเพื่อการเผาไหม้ทำลายตัวเอง อยากให้ทุกคนเห็นคุณค่าของความรัก และส่งต่อความรัก ความปรารถนาดีให้แก่กันอย่างบริสุทธิ์ใจโดยไม่มีข้อแม้ สุขสันต์ในเดือนแห่งความรักค่ะ
เขียนโดย "ลอมฟาง"
ภาพและวีดีโอ