เปลี่ยนการแสดงผล
ความรักของพ่อแม่ รอเราอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก
16 มีนาคม 2564 406 ครั้ง

#พลังแห่งรัก
        ความรักของพ่อแม่อยู่ในลมหายใจของเรา/ เจรียง
        ตั้งแต่เด็กจนปัจจุบันก่อนไปเรียน ไปทำงานฉันจะต้องยกมือไหว้ พ่อกับแม่ก่อนทุกครั้งพร้อมตะโกนบอกว่า”พี่ไปทำงานแล้วนะ พ่อก็จะตอบกลับมาว่าโชคดีลูกเดินทางปลอดภัย เสร็จงานรีบกลับบ้านนะ”  แม้บางช่วงพ่อไม่อยู่ไปต่างจังหวัด แต่ฉันก็จะมีรูปพ่อแม่ไว้ให้ไหว้ที่ใต้หิ้งพระ ที่มีทั้งพระพุทธรูปและรูปท่านพุทธทาส  “ไหว้เพื่อดึงสติ” 

        ในยามปกติ เราอาจไม่เข้าใจลึกซึ้งมากนักกับคำว่า”กลับบ้าน” ว่าสำคัญแค่ไหน อาจจะด้วยเราอยู่บ้าน เห็นคนที่บ้านจนเหมือนนกในอากาศ หรือปลาที่ว่ายวนในน้ำ เหมือนอาบดารา เหมือนอาบฝุ่นพีเอ็ม 2.5
 แล้ววันหนึ่งฉันก็ซาบซึ้งกับคำว่า “ กลับบ้าน” 

        เหตุการณ์วันนั้น 7 ปีผ่านไปแล้ว แต่แจ่มชัดทุกครั้งที่คิดถึง เหมือนเป็นเรื่องกรรมที่เราต้องเจอ  เหตุเพราะน้องขอแลกเวรทำงาน ฉันตอบรับไม่ลังเล เพราะการทำงานของทีมเราทุกคนเหมือนพี่น้องกัน ใครไม่ว่างก็พร้อมทดแทนกันแบบไม่ลำบากใจ  เวรวันนั้นฉันต้องไปอยู่ในจุดพีคของสถานการณ์ หลังเกิดเหตุทุกคนที่มาทราบเหตุการณ์ตอนหลัง บอกคำเดียวกันว่าไม่น่ารอด   พีคในพีค 

        หากใครจำเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมาในห้วงปี 56-57 ได้และมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นที่จุดไหนขอไม่เอ่ยถึง  แต่มีคนได้รับบาดเจ็บ หนึ่งในนั้นคือฉัน ที่นั่งห่างจากจุดระเบิดลงไม่เกิน 10 เมตร โชคดีที่เห็นระเบิดที่ลงมาตรงหน้าและหลบทันด้วยวิชากำลังภายในและสติที่ฝึกติดตัวสะสมมานาน แต่แม้จะหลบได้ระเบิดก็เข้าที่สะโพกเกือบถึงกระดูกเชิงกรานอีกไม่ถึง 2 เซ็นติเมตรฉันอาจพิการ ขณะที่คนอื่นโดนหลัง หรือขาเจ็บสาหัส
ขณะนั้นไม่เจ็บ ค้านกับเลือดที่ไหลโจ๊กจากสะโพกลงปลายเท้า ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของคนนับพันที่ตกใจ และควันระเบิดที่คลุ้งไม่ทั่ว คนวิ่งกันไร้ทิศทาง ฉันเอามือกดแผลและรีบวิ่งออกจากจุดระเบิดให้เร็วที่สุดเพราะหวั่นโดนซ้ำลูกที่2 มุ่งไปที่รถพยาบาลที่มองหาทุกครั้งเมื่อลงพื้นที่ และแน่นอนทุกจุดที่ทำงาน ฉันจะมองหาสามเหลี่ยมปลอดภัย(หัดหากันนะจ๊ะทุกพื้นที่จะมี)  ระหว่างนอนในเปลรถพยาบาลเส้นทางไปโรงพยาบาลห่างกันไม่ถึง 500 เมตร แต่ความคิดของฉันมันพุ่งทะยานไกลไม่รู้กี่ปีแสง ปลายทางคือพ่อและครอบครัวของฉันที่มีน้องอีก2คน เพราะแม่ของฉันจากไป 20ปีแล้ว

        ใครไม่โดนระเบิดจะไม่รู้หรอกว่า มันโคตรชา มันจุกแน่นไปทั้งตัว ที่โรงพยาบาลฉันถามพยาบาลตลอดเวลาว่า หัวโดนสะเก็ดระเบิดหรือไม่ มีจุดไหนที่โดนอีกและเลือดไม่ออก ก่อนเข้าเขตโรงพยาบาลจะโดนตัดสัญญาณโทรศัพท์ฉันโทรบอกหัวหน้าว่า โดนระเบิดกำลังเข้าโรงพยาบาล.. จากนั้นกว่า 3 ชม.ที่ไม่สามารถติดต่อใครได้ นอนให้พยาบาลหญิงคลำตัว คลำหัวหาสะเกิดระเบิด   จนแน่นอนว่าฉันโดนจุดเดียวที่สะโพกและเลือดที่ออกมานั้นพยาบาลทำการอุดไว้รอเอ็กซเรย์และผ่าเอาสะเกิดระเบิดออก ระหว่างนั้นมีเพื่อนร่วมงานหลายสิบชีวิตที่ต่างมารอและให้กำลังใจ ฉันยิ้มพรางตอบว่า สบายมากไม่ต้องห่วง ทุกคนระวังตัวนะ   จากนั้นก็ใช้เวลาในการผ่าสะเกิดระเบิดกว่า  3 ชม. เพราะหมอกังวลจะติดเชื้อ  ผ่าสดไม่วางยาสลบ ใช้ฉีดยาชาไปผ่าไป เสียงมีดกรีดเนื้อ กรึ้ดๆ มันส์จริงๆชีวิต 

        “ เราต้องกลับบ้านไปเจอพ่อ เจอน้องให้ได้ “ เวลากว่า 3 ชม.ในการผ่าตัดบางครั้งมีดหมอผ่าเกินไปในพื้นที่ไม่ชา ฉันรองโอ้ย หมอบอกขอโทษเดียวฉีดยาเพิ่ม ฉันอยากจะบอกว่าที่ร้องโอ้ยนั้นเป็นแค่คำร้องออกอาการเจ็บของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่ใจของฉันนั้น ถึงคร่าตกผลึกของคำว่า “กลับบ้าน”  คำว่า“ชีวิตนี้น้อยนัก แต่ชีวิตนี้สำคัญนัก “ พระดำรัสของสมเด็จพระสังฆราชวัดบวรฯก็เข้ามาในจิต  จริงแท้ค่ะ ชีวิตน้อยๆของเราสำคัญนักโดยเฉพาะกับครอบครัวของเรา ที่รอเรากลับบ้าน..   ณ ขณะนั้น รู้ซึ้งเลยว่า การมีชีวิตของเรา และการรักษาตัวให้รอดปลอดภัยในแต่ละวันเพื่อกลับบ้านให้ได้นั้น นอกจากเพื่อตัวเองและยังเพื่อคนที่เรารักด้วย  

         หลังจากเหตุการณ์นั้นฉันต้องพักผ่อน ออกไปโลดโผนไม่ได้เป็นเดือน ระหว่างพักที่บ้าน เป็นห้วงเวลาที่ให้เราได้ทบทวนชีวิต ทุกวันที่เราก้าวเท้าออกจากบ้าน ไม่มีใครตอบได้เลยว่าจะได้มีโอกาสกลับมาบ้านอีกหรือไม่ เพราะความตาย หรืออันตราย มันใกล้เราแค่เพียงลมหายใจเข้า-ออก   เหตุการณ์นั้นสอนให้ ฉันอภัยคนง่ายขึ้น สอนให้มองคนแบบเข้าใจมากขึ้นและปล่อยวางได้มากขึ้น  และรักคนในครอบครัวมากขึ้นไปอีกจากเดิมก็รักอยู่แล้ว  เพราะในยามที่ทุกข์ที่สุด ลำบากที่สุดและเฉียดตายที่สุด  พลังความรักของพ่อแม่และครอบครัวของเราจะช่วยฉุดสติให้เราดึงพละกำลังทุกอย่างในกายเพื่อจุดประสงค์เดียวคือ  ต้องรอดเพื่อกลับบ้าน เพราะความรักของพ่อแม่รอเราอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก

เขียนโดย "เจรียง"

ภาพและวีดีโอ