เปลี่ยนการแสดงผล
" เมื่อล้อแตะพื้นสนามบิน หมายถึงพวกเราได้กลับบ้านเจอหน้าครอบครัวได้อีกครั้ง "
14 เมษายน 2563 290 ครั้ง

" เมื่อล้อแตะพื้นสนามบิน หมายถึงพวกเราได้กลับบ้านเจอหน้าครอบครัวได้อีกครั้ง "
จากความรู้สึก ของผู้ปฏิบัติงานบนอากาศ

ความฉ่ำเย็นจากสายฝนทำให้ชื่นใจ ส่วนความเย็นจากลมหนาวทำให้แห้งแล้งและปิศาจหมอกควันก็ตามมา ผู้คนออกนอกบ้านก็ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย จะใส่แค่เพียงหน้ากากผ้าแบบใช้ป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ก็ไม่ได้ ทำให้การใช้ชีวิตมีความยากลำบากมากขึ้น

แม้สาวๆจะดีใจได้ใส่เสื้อกันหนาวสวยๆกันตอนช่วงฤดูหนาวในกทม. เพื่ออวดความงามกับชุดสวยๆ แต่ก็ต้องจมอยู่ภายใต้ในหมอกควัน ฝุ่นจิ๋ว ที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย แถมต้องใส่หน้ากากปิดบังความงามที่มีอยู่บนใบหน้า ไม่สามารถโชว์สีลิปสติกและริมฝีปากที่อวบอิ่ม สวยงามได้

ความพยายามของทีมนักล่าเมฆ จึงยังต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ต้องเตรียมพร้อมทั้งแนวรบจากด้านทิศตะวันออกของกทม. และด้านทิศตะวันตก แล้วแต่ว่าลมจะมาจากทิศใด ทุกคนต่างพร้อมใจกัน และมุ่งมั่นว่าภารกิจนี้เราจะต้องสำเร็จ

ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง เป็นวันที่สภาพอากาศ ค่อนข้างเอื้อต่อการปฏิบัติการฝนหลวง แต่ลมเป็นลมทางทิศตะวันตก จึงเป็นหน้าที่ของนักล่าเมฆทางหน่วยกาญจนบุรี

ทีมนักล่าเมฆชุดนี้ เป็นพี่นักบินคาราวาน 6 คน ในจำนวน 3 ลำ แต่มีนักวิชาการสาวเพียง 2 คน เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า หน่วยงานของเราบุคลากรน้อยไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน จีงต้องมีการวางแผนการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้คุ้มค่ามากที่สุด โดยแบ่งนักวิชาการที่มีเพียง 2 คน ให้ขึ้นลำแรก และลำสุดท้ายเพื่อสั่งการในการโปรยสาร ส่วนลำกลางจะไม่มีนักวิชาการ แต่สามารถติดต่อสื่อสารระหว่างลำกันได้ และยังมีช่างเครื่องบินลำละ 1 คน เจ้าหน้าที่โปรยสารลำละ 2 คน

ทั้ง 3 ลำได้ขึ้นไปปฏิบัติการในขั้นตอนแรก ในการก่อกวนหรือก่อเมฆ ด้วยเกลือแป้งลำละ 700 กก. ตามแนวจาก อ.สามพราน ไป ทิศเหนือของ อ.พุทธมณฑล แล้วลงกลับมาติดตามสภาพเมฆก่อตัวมากน้อยเพียงใด

หลังจากผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ เมฆก็เริ่มเกิดการก่อตัวดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ในช่วงฤดูแบบนี้เมฆจะสลายตัวค่อนข้างเร็ว ทางทีมตะวันตกจีงตัดสินใจ ขอลองตามไปเลี้ยงให้อ้วนโดยใช้แคลเซียมคลอไรด์ และเอาเกลือแป้งไปเสริมให้เมฆหนาขึ้นด้วย

ทันใดนั้นเครื่องบินทั้ง 3 ลำก็ขึ้นไปอีกรอบหนึ่งหวังที่จะเลี้ยงเมฆให้อ้วนมากกว่าที่เป็นอยู่เพราะกลัวเมฆจะสลายไปก่อนตกเป็นฝน

ลำแรกนำทีมโดยกัปตันตฤณ หรือครูน้อยของพวกเรา และนักวิชาการสาวสวยน้องชมพู่
ลำที่สองบินตามโดยกัปตันวิชาญหรือครูบอมบ์ แต่ไม่มีนักวิชาการ
ปิดท้ายด้วยลำที่สาม โดยกัปตันพินิจหรือพี่ตุ๊ ของน้องๆ และนักวิชาการสาวสวยอีกคนคือน้องอุ๊ ระหว่างการบินเข้าประชิดกทม ไปเรื่อยๆ ก็จะมีวิทยุเรียกขานจากหอบังคับการบินสุวรรณภูมิ แจ้งเตือนไม่ให้บิน ประชิดเข้าใกล้ไปมากกว่านี้ แต่ความเสียดายกับเมฆที่ก่อไว้และหวังจะให้สำเร็จ ครูน้อยก็พยายามจะเข้าไปทำให้ได้ น้องนักวิชาการสาวสวย ก็พะวงทั้งการผิดเงื่อนไขการบินซึ่งจะเป็นอันตรายได้ ไหนจะบินไกลมาถึงสามพราน และพุทธมณฑล น้ำมันจะเหลือพอที่จะบินกลับไปลงสนามบินที่กาญจนบุรีหรือไม่ แต่ด้วยความเก๋าของครูน้อยก็หาทางแอบเข้าไปจัดการเลี้ยงกลุ่มเมฆเหล่านั้นได้สำเร็จ และนำพาทีมกลับมายังหน่วยที่ตั้งสนามบินค่ายสุรสีห์ กาญจนบุรี ได้อย่างปลอดภัย

เมื่อล้อแตะพื้นสนามบิน หมายถึงพวกเราได้กลับบ้านเจอหน้าครอบครัวได้อีกครั้ง แต่คราวนี้นักล่าเมฆทีมนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง ที่ต่างก็ยิ้มอย่างมีความสุขและชวนกันไปฉลอง หลังจากติดตามว่ามีฝนแห่งความพยายาม ฝนแห่งความสุข ได้ตกลงมาคลายทุกข์ให้กับพี่น้อง ประชาชน แล้ว

จะเห็นว่าในหมู่นักล่าเมฆไม่มีอะไรสุขไปกว่า การที่ทำให้ฝนตกในพื้นที่ที่ผู้คนกำลังเดือดร้อน รอคอยความหวังจากน้ำพระราชหฤทัยจากพระราชาอยู่ใช่มั้ยครับ...

#ความสุขไม่ได้เกิดจากเรื่องเงินทองเพียงอย่างเดียว
#SaveThailand
#SaveRainmakingTeam
#Saveบุคลากรทางการแพทย์
#แล้งนี้ต้องรอด
#โควิด19พวกเราต้องรอด

เขียนโดย "ฟ้าโปรย"

 

ภาพและวีดีโอ