เปลี่ยนการแสดงผล
#สัมภเวสี
20 มิถุนายน 2563 2,415 ครั้ง

#สัมภเวสี
  ชาวพุทธจะมีความเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม ที่จะทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิด จนกว่าจะเข้าสู่นิพพาน และเชื่อกันว่าจิตสุดท้ายก่อนตายนั้นจะสำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่ภพภูมิใหม่ หลายคนอาจจะสงสัยว่า อย่างนั้นช่วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่คงไม่ต้องทำความดีก็ได้ล่ะสิ แค่ตอนเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของจิตก็เพียงแค่คิดดีก็พอแล้ว จะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ผมยืนยันว่าเป็นการเข้าใจผิดครับ เพราะในช่วงจิตสุดท้ายจากข้อมูลงานวิจัยทางการแพทย์พบว่าคนเราจะมีความฟุ้งซ่านมาก จะคิดไปต่างๆนานา คิดถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาอาจจะเกิดความกลัว ความโกรธ ความหึงหวง สารพัดที่จะคิดที่จะรู้สึก ดังนั้นหากคนเราไม่เคยได้ปฏิบัติอะไรจนเป็นความเคยชิน ณ เวลาวิกฤตจะนึกไม่ออกว่าจะต้องทำอย่างไร หลายครั้งเราจะเห็นว่าเราแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าที่วิกฤตด้วยความเคยชินหรือสัญชาตญาน ถ้าเราทำดีและฝึกจิตในทางที่ดีก็จะทำให้เราเกิดความเคยชินในช่วงจิตสุดท้าย ความคิดดี จิตเป็นสมาธิที่ดีที่เป็นความเคยชินจากการปฏิบัติมาเป็นประจำก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ
อีกส่วนนึงที่ชาวพุทธมักจะเข้าใจผิดหรืออาจจะเข้าใจถูกแค่บางส่วนคือเรื่องสัมภเวสี เรามักจะเข้าใจว่าสัมภเวสีคือพวกวิญญานเรร่อนเท่านั้น และมักจะนำมาใช้ด่าเปรียบเทียบกับคนที่เที่ยวหาเรื่องคนอื่นโดยไม่เปิดเผยตนว่าเป็นพวกสัมภเวสี...
  แต่จริงๆแล้วในทางพระพุทธศาสนานั้น สัมภเวสีจะหมายถึง สิ่งมีชีวิตทุกชนิด นับตั้งแต่สัตว์ที่อุบัติในนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา หรือแม้แต่พระพรหม เพราะบุคคลเหล่านั้นล้วนแต่ยังต้องการเกิดใหม่ ในภพภูมิใหม่ ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่เรื่อยไปจนกว่าจะหลุดพ้นนั่นคือการเข้าสู่นิพพาน สรุปง่ายๆ สัมภเวสี คือ พวกที่แสวงหาที่เกิด แต่จะเป็นมนุษย์ หรือสัตว์ขึ้นกับกรรมกำหนด จนกว่าจะเข้าสู่นิพพาน ก็จะพ้นจากการเป็นสัมภเวสีครับ
  เราเรียนรู้เข้าใจเรื่องวัฏจักรชีวิตของสิ่งมีชีวิตแล้ว เรามาเรียนรู้เรื่องวัฏจักรของน้ำกันบ้างครับ
  หากเปรียบน้ำกับสัมภเวสีแล้ว น้ำจะเป็นสัมภเวสีตลอดไป เนื่องจากน้ำจะมีการเปลี่ยนแปลงสถานะไป-กลับ จากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่งอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด จากน้ำบนพื้นผิวโลกจะระเหยกลายเป็นไอ (evaporation)และจากการคายน้ำของพืช (transpiration) ซึ่งรวมเรียกว่าการคายระเหย (evapotranspiration) ไปสู่ชั้นบรรยากาศกลายเป็นเมฆ ในขณะที่น้ำจากฟ้า (precipitation) ตกลงมาสู่พื้นผิวโลกในรูปแบบของฝน หิมะ และลูกเห็บ และน้ำพื้นผิวโลกที่เกิดจากทั้งฝน หิมะ และลูกเห็บนั้น ส่วนหนึ่งจะตกค้างตามต้นไม้ และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ และส่วนหนึ่งจะเก็บอยู่ในดิน ซึ่งจะมีปริมาณมากน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของดิน เพราะดินแต่ละชนิดจะอุ้มน้ำได้ไม่เท่ากัน และน้ำส่วนเกินที่ดินจะอุ้มไว้ได้จะซึมลงสู่ใต้ดินกลายเป็นน้ำใต้ดิน (groundwater) และอีกส่วนหนึ่งจะกลายเป็นน้ำท่า(runoff)ไหลลงสู่แม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง คลอง บึง อ่างเก็บน้ำต่างๆ ก่อนที่จะไหลลงสู่ทะเล
  จะเห็นว่าน้ำก็มีวัฏจักรในการเวียนว่ายตายเกิดเหมือนวัฏจักรชีวิตของสิ่งมีชีวิต แต่วัฏจักรของน้ำถูกกำหนดได้ด้วยมนุษย์ในหลายสาขา เช่น กรมชลประทานสร้างเขื่อนเพื่อเก็บน้ำบนพื้นผิวโลกให้มากขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ ก่อนที่จะปล่อยไหลทิ้งลงสู่ทะเล กรมทรัพยากรน้ำบาดาลพัฒนานำน้ำบาดาลขึ้นมาใช้บนพื้นผิวโลก และยังพัฒนานำน้ำจากพื้นผิวโลกส่วนเกินไปเก็บในใต้ดิน ขณะที่กรมฝนหลวงและการบินเกษตรทำการเปลี่ยนสถานะของไอน้ำในบรรยากาศหรือเมฆให้ตกกลายมาเป็นฝนได้เร็วขึ้น มีปริมาณมากขึ้น และกระจายตัวเพิ่มขึ้น และยังเปลี่ยนจากสถานะลูกเห็บให้กลายเป็นฝนอีกด้วย โดยตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ - 18 มิถุนายน 2563 กรมฝนหลวงฯได้ทำการเปลี่ยนสถานะของน้ำจากไอน้ำในบรรยากาศหรือเมฆ และลูกเห็บมาเป็นฝนตกไปเก็บอยู่ในพื้นที่การเกษตรบางส่วนของพี่น้องเกษตรกรใน 67 จังหวัด และเป็นน้ำที่เก็บในเขื่อนรวมกันราวๆ 436 ล้านลูกบาศก์เมตร กระจายอยู่ในอ่างเก็บน้ำต่างๆทั่วประเทศ ส่วนวัฏจักรชีวิตมนุษย์นั้นก็สามารถกำหนดได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่จากผู้อื่นเพราะสถานะของเราจะยังเป็นสัมภเวสีอยู่หรือไม่ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเองดังคำกล่าวที่ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
#ผู้แสวงหาตัวตนไม่ต่างจากสัมภเวสี
#SaveThailand
#SaveRainmakingTeam
#Saveบุคลากรทางการแพทย์
#แล้งนี้ต้องรอด
เขียนโดย "ฟ้าโปรย"

 

ภาพและวีดีโอ