เปลี่ยนการแสดงผล
#จดหมายถึงพ่อ (9)
11 ตุลาคม 2563 127 ครั้ง
#จดหมายถึงพ่อ (9)

นี่เป็นจดหมายเปิดผนึกฉบับแรกในชีวิตที่เขียนถึง “พ่อ”

“พ่อจ๋า” นานเท่าไหร่แล้วหนอที่เราไม่ได้เจอกัน คงจะ 20 กว่าปีได้แล้วสิน่ะที่พ่อจากพวกเราไปแบบไม่มีวันหวนคืนกลับมา เหลือไว้เพียง “ความรัก” ที่พ่อเคยได้มอบและแสดงออกผ่านการกระทำในช่วงเวลาอันสั้นครั้นเมื่อลูกยังเป็นเด็กเล็กแบเบาะจนเริ่มเติบโตเป็นเด็กไร้เดียงสา ที่พ่อคอยโอบอุ้ม ประคบประหงม ฟูมฟักและเลี้ยงดูให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพ จนกระทั่งวันที่ พ่อจากไป ลูกก็ยังไม่โตพอที่จะเข้าใจว่า นี่คือการจากลาที่เจ็บปวดที่สุดที่คนเราต้องพบเจอ

ภาพความทรงจำอันเลือนลางของพ่อในชีวิตลูกคนนี้ แม้จะมีอยู่เพียงไม่กี่ฉากกี่ตอน แต่เป็นฉากจำที่มีคุณค่าและงดงามนัก ทั้งคำบอกเล่าเรื่องราวของพ่อจากญาติพี่น้องในครอบครัว ทำให้ลูกสัมผัสได้ถึงความรักและหน้าที่ของพ่อที่พ่อได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรที่พ่อต้องห่วงและเสียใจอีกต่อไป แต่สิ่งที่ลูกเสียดายมากที่สุดในชีวิต คือ การไม่มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณพ่อ

ในวันพ่อแห่งชาติทุก ๆ ปี แม้ลูกจะไม่เคยมีโอกาสได้ก้มลงกราบพ่อเหมือนเพื่อน ๆ แต่ลูกไม่เคยรู้สึกขาดหรือต้องการสิ่งใดมาเติมเต็มแทนพ่อ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นความอิ่มเอมและภาคภูมิใจทุกครั้งที่หวนนึกถึงความรัก ความดี และแบบอย่างในการทำหน้าที่ของพ่อ และที่สำคัญ วันนี้ยังเป็นวันที่ได้ตระหนักถึงพระคุณ “พ่อของแผ่นดิน” ยิ่งทำให้ลูกได้ซาบซึ้งในหน้าที่ของการเป็น “พ่อ” หน้าที่ในการเป็นต้นไม้ใหญ่ที่คอยปกป้องให้ร่มเงาด้วยความรักอย่างไร้เงื่อนไข

แม้ความทรงจำเกี่ยวกับพ่อบังเกิดเกล้าจะมีอยู่เพียงน้อยนิดและมาจากการฟังคำบอกเล่าเป็นส่วนใหญ่ แต่ความทรงจำเกี่ยวกับพ่อของแผ่นดินนั้น คงปรากฏเป็นภาพชัดเจนจากการเห็นและสัมผัสด้วยตนเองตลอดชีวิตที่เติบโตมา ถึงจะไม่มีโอกาสได้พบเจอกับพ่อของตนเองแล้วในภพชาตินี้ แต่ลูกยังคงตามหาโอกาสที่จะได้พบ พ่อของแผ่นดิน เสมอมา

เมื่อวันหนึ่ง จากเด็กบ้านนอกได้มีโอกาสเข้ามาเรียนในกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงที่มีแต่ความวุ่นวาย และเหนื่อยล้าในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน แต่ด้วยความหวังที่จะได้เห็น พ่อของแผ่นดิน ผ่านสายตาตนเอง ทำให้มีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตในเมืองแห่งแสงสีเสียงต่อไป หลายครั้งที่พระองค์เสด็จออกจากพระราชวังเพื่อทรงปฏิบัติพระกรณียกิจเนื่องในโอกาสต่าง ๆ ลูกคนนี้จะรีบสวมเสื้อเหลืองไปนั่งเฝ้ารอเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อรับเสด็จพระองค์ทุกครั้งที่สามารถจะมีเวลาไปได้

แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่เสี้ยววินาทีที่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ที่ประทับในรถยนต์พระที่นั่งวิ่งผ่านไป ก็ทำให้ลูกคนนี้น้ำตาไหลและซาบซึ้งสุดชีวิตแล้ว... “ทรงพระเจริญ” พร้อมกับมือที่โบกธงของหมู่ปวงชนที่มาเฝ้ารับเสด็จอย่างแน่นขนัดตาคล้ายคลื่นสีเหลืองอันสุดลูกหูลูกตา ยังคงเป็นเสียงและภาพที่กึกก้องและตรึงใจในความทรงจำของลูกคนนี้ พร้อมคนไทยทั่วทั้งประเทศและชาวต่างชาติในที่ต่างๆ จนกลายเป็นภาพแห่งประวัติศาสตร์ของโลกไปแล้ว

ความเหนื่อยล้าและการอดทนเฝ้ารอเป็นเวลาหลายชั่วโมงที่จะได้เห็นพระองค์ท่าน หายเป็นปลิดทิ้งทันใดและกลับกลายเป็นความสุขที่สุดจากภายในแบบที่ไม่สามารถบรรยายได้แทน...แต่แล้วความสุขที่ลูกเฝ้ารอในแต่ละปีก็มาถึงวันอวสาน คลื่นสีเหลืองเปลี่ยนเป็นคลื่นสีดำพร้อมน้ำตาแห่งความทุกข์โศกในวันที่พ่อของแผ่นดินจากไปแบบไม่มีวันหวนคืนกลับมา และนี่แหละหนา ลูกถึงได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งในความเจ็บปวดของการจากลาแบบไม่มีวันได้พบเจอกันอีก

วันที่มีพระราชพิธีเคลื่อนพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราช ลูกยังคงไปยืนเฝ้ารอหน้าประตูโรงพยาบาลเป็นเวลานานที่สุดที่เคยเฝ้ารอรับเสด็จมาในชีวิต เพื่อให้ได้ใกล้ชิดพ่อหลวงเป็นครั้งสุดท้าย... "ความฝันจะไม่สูญสิ้น หากวันพ่อหลวงจำเป็นต้องจากไป มืดมิดเพียงไหนเราคงต้องก้าวไป ด้วยฝันด้วยหัวใจตามรอยที่พ่อเดิน" ตอนหนึ่งของบทเพลง "ความฝันไม่มีวันสิ้นสุด" ที่เขียนโดยบาทหลวงอนุชา ไชยเดช เป็นข้อความที่ช่วยเยียวยาและให้กำลังใจในการเดินหน้าได้อย่างดี

สิ่งที่ยังคงเหลือไว้ให้ลูกจดจำ คือ แบบอย่างและคำสอน ที่ลูกนำมายึดถือปฏิบัติตาม ลูกประจักษ์และเห็นชัดแล้วว่า ความอดทน ขยันขันแข็ง ไม่ย่อท้อ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่สวยงามเสมอ การทำหน้าที่ของข้าราชการหรือข้าของแผ่นดินในหน่วยงานที่สืบสานพระราชปณิธานถือเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิต แม้ลูกจะไม่มีโอกาสได้ตอบแทนคุณพ่อ แต่หวังว่าหน้าที่ในการตอบแทนคุณแผ่นดินนี้จะสามารถทดแทนและเป็นความภาคภูมิใจของพ่อได้เช่นกัน

ขอขอบคุณ “กรมฝนหลวงและการบินเกษตร” มา ณ ที่นี้ ที่เปิดโอกาสอันมีเกียรติและให้ใช้พื้นที่ตรงนี้ในการเขียนบทความถึง “พ่อ”

เขียนโดย “บุญเหลือ”
ภาพและวีดีโอ