เปลี่ยนการแสดงผล
#ตาบอดคลำช้าง
24 มกราคม 2564 654 ครั้ง
กาลครั้งหนึ่งสมัยพุทธกาล ณ เมืองสาวัตถี เมืองหลวงแห่งแคว้นโกศล พระพุทธเจ้าได้ใช้นิทานชาดกเทศน์สอนแก่สาวกว่า ในเมืองสาวัตถีมีสมณพราหมณ์และปริพาชกมากมาย ต่างคนต่างมีความเชื่อ ความเห็น และยึดทฤษฎีของตนว่าถูกต้อง ดูถูกเหยียดหยามกัน ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนลังเลสงสัยว่าจะเชื่อใครดี โดยมีเนื้อหาดังนี้
มีพระราชาองค์หนึ่ง ได้รับสั่งให้ชุมนุมคนตาบอดแต่กำเนิดทั่วประเทศ แล้วแบ่งคนตาบอดเหล่านี้ออกเป็น 8 พวกด้วยกัน แล้วนำช้างมาให้คนตาบอดเหล่านี้ลูบคลำดูพวกละแห่ง เช่น ศรีษะ งวง งา ขา ท้อง ตลอดจนปลายหาง ฯลฯ
หลังจากนั้นพระราชาได้ตรัสถามว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง?
แต่ละพวกแย่งกันตอบด้วยความมั่นใจว่าตนเองรู้จริงและมองว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้จริงดังคำกราบทูลของแต่ละพวกดังนี้
พวกที่ลูบคลำศรีษะก็กราบทูลว่า "ช้างเหมือนหม้อน้ำพะย่ะค่ะ"
พวกที่ลูบคลำงวงก็กราบทูลว่า "เหมือนงอนไถ"
พวกที่ลูบคลำงาเถียงว่าไม่จริงมัน"เหมือนผาลไถมากกว่า พะย่ะค่ะ"
พวกที่ลูบคลำหูกราบทูลว่า “เหมือนกระด้ง”
พวกลูบคลำเท้าก็ว่า"เหมือนเสาเรือน"
ฝ่ายที่ลูบคลำหลังแย้งว่า "เหมือนครกตำข้าวต่างหาก"
และพวกที่ลูบคลำต้นหางกราบทูลว่า"เหมือนสากต่างหากพะย่ะค่ะ"
สุดท้ายพวกที่คลำปลายหางกราบทูลว่า "ขอเดชะ พวกที่กราบทูลมาตั้งแต่ต้น ล้วนไม่รู้จักช้างสักคน ข้าพระพุทธเจ้ารู้จักดี ช้างเหมือนไมักวาดพ่ะยะค่ะ"
มาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงเข้าใจเหมือนกันว่านิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า"หากไม่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญจริงในเรื่องนั้นๆแต่มีความเชื่อมั่นว่าตนเองเข้าใจว่าตนเองนั้นถูก อาจสร้างปัญหา สร้างความสับสนให้กับสังคมได้"
ถึงแม้จะมีนิทานชาดกเป็นอุทธาหรณ์แต่ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ยังมีเหตุการณ์ดั่งในนิทานชาดกข้างต้นให้เห็นอยู่เสมอ...
ไม่เชื่อลองกลับมามองโลกปัจจุบันกันดู จะเห็นว่าแต่ละอาชีพโดยเฉพาะอาชีพเฉพาะทาง ต้องมีการศึกษาเฉพาะด้านอย่างลึกซึ้งเพื่อให้เกิดความรู้พื้นฐานพร้อมทั้งต้องสะสมความรู้และประสบการณ์ในด้านนั้นๆเพื่อให้สามารถวิเคราะห์และปฏิบัติงานด้านนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น อาชีพทางการแพทย์ วิศวกร ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงบางคนบางอาชีพอาจทำตัวเก่งกว่าแพทย์เองก็ว่าได้
ส่วนกรมฝนหลวงและการบินเกษตรเป็นกรมที่ก่อตั้งขึ้นใหม่เมื่อปี 2556 ก็ได้รับประสบการณ์ตาบอดคลำข้างมามากพอสมควร เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำการประเมิน วิเคราะห์รูปแบบโครงสร้างองค์กรที่เหมาะสม แต่ผู้ที่ทำการวิเคราะห์ มีอำนาจในการตัดสินใจอาจไม่เข้าใจในบริบทการทำงานด้านนี้อย่างแท้จริง มีความเข้าใจว่าบุคลากรของกรมฝนหลวงฯมีการทำงานแค่เพียงช่วงเดียวของปีคือในช่วงการทำฝนประจำปีระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนตุลาคมเท่านั้น จึงทำให้จำนวนบุคลากรในแต่ละสาขาวิชาไม่เพียงพอ
ความจริงแล้วช่วงปิดฤดูกาลปฏิบัติการฝนหลวงประจำปีพวกเราแต่ละคนก็มีภารกิจด้านอื่นๆมากมายแต่ไม่ใช่ภารกิจการทำฝนเท่านั้นเอง
แต่ด้วยความรับผิดชอบในหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ และเป็นไปตามพระราชปญิธานของพระบิดาแห่งฝนหลวง พวกเราจึงต้องมีความอดทนที่จะต้องทำงานบนพื้นฐานของข้อจำกัดต่างๆที่เกิดจากการกระทำของพวกตาบอดคลำช้าง
อย่างไรก็ตามความอดทนของมนุษย์เราย่อมมีขีดจำกัด จึงเป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติงานและเข้าใจบริบทของงานอย่างแท้จริงต้องเรียกร้องสิทธิ์จากผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ไม่ใช่พวกตาบอดคลำช้าง เพื่อขอเพิ่มอัตราที่เกี่ยวข้องและจำเป็นเพื่อให้การทำงานสนองตอบแก่พี่น้องประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด กรมฝนหลวงฯจึงได้รับการพิจารณาอัตรากำลังเพิ่มเติมมาในระดับหนึ่งเมื่อเร็วๆนี้
ในเมื่อบุคคลตามนิทานชาดกยังไม่เคยหมดไปจากยุคสมัยไหน เมื่อเกิดสภาวะภัยแล้งรุนแรงในประเทศ บางท่านอาจมองแค่เพียงว่ากรมฝนหลวงฯควรระดมอากาศยานลงไปให้มากขึ้นในจุดเดียวกัน เข่น ให้ระดมไปสัก 10 ลำ แต่ความเป็นจริงนั้นการปฏิบัติการฝนหลวงขึ้นกับเงื่อนไขของสภาพอากาศและมีหลักการที่จะใช้อากาศยานจำนวนเท่าใดที่เหมาะสม ไม่ได้หมายความว่าจำนวนอากาศยานมากแล้วจะปฏิบัติการฝนหลวงได้ดี ก็อาจจะขัดใจบรรดาพวกตาบอดคลำข้างก็เป็นได้
อีกทั้งยุคสมัยนี้เป็นยุคโซเชียลมีเดีย บางคนก็แค่พูดเก่ง พูดดูดี เหมือนจะมีหลักการ และแค่พรรคพวกเยอะคอยเป็นกองเชียร์ แต่คนที่เชี่ยวขาญเฉพาะด้านย่อมมองออกว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นพูดก็แค่เพียงต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้ตนเอง เบี่ยงเบนให้สังคมเข้าใจผู้อื่นผิด ด้วยการสร้างข่าวปลอมหรือเฟคนิวส์ทั้งหลายแหล่ นั่นก็เข้าข่ายพวกตาบอดคลำช้างมาสร้างกระแสสังคมให้ตนเองดูดีแต่เหยียบย่ำผู้อื่น
ดังนั้นคนพวกนี้พวกเราสมควรเรียกว่า"เป็นพวกกบในกะลาผู้สร้างบาปต่อสังคมได้หรือไม่?"
เขียนโดย "ฟ้าโปรย"
ภาพและวีดีโอ