การปฏิบัติการฝนหลวงตามตำราฝนหลวงพระราชทานในปัจจุบันยังคงใช้อากาศยานเป็นพาหนะในการนำนักวิทยาศาสตร์และสารฝนหลวงขึ้นไปปฏิบัติการบนอากาศ
หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ตั้งขึ้นในช่วงฤดูการปฏิบัติการฝนหลวงประจำปีจึงต้องเลือกจังหวัดที่มีสนามบิน โดยอาจจะเป็นสนามบินของกรมท่าอากาศยาน เช่น สนามบินจังหวัดตาก สนามบินของกองทัพอากาศ เช่น สนามบินกองบิน 1 จังหวัดนครราชสีมา สนามบินกองทัพบก เช่น สนามบินกาญจนบุรี ค่ายสุรสีห์ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งกรมฝนหลวงฯได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานเหล่านี้ในการอนุญาตให้ใช้สนามบินทุกปีเป็นอย่างดี
จากการที่สนามบินที่สามารถทำการบินได้อย่างปลอดภัยไม่ได้มีอยู่ทุกจังหวัด อีกทั้งอากาศยานของกรมฝนหลวงฯมีอยู่อย่างจำกัด ในแต่ละปีเราจึงสามารถเปิดหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงได้พร้อมกันสูงสุดเพียง 13-15 หน่วย โดยอากาศยานส่วนหนึ่งได้รับความร่วมมือจากกองทัพอากาศและกองทัพบก นั่นหมายความว่า จะมีหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงประจำอยู่ 13-15 จังหวัด แต่ต้องดูแลพื้นที่ครอบคลุมทั้งประเทศ
การเลือกตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงนั้นไม่ใช่เฉพาะเงื่อนไขของสนามบินเท่านั้น ยังต้องเลือกตำแหน่งที่จะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่จะสามารถช่วยเหลือพื้นที่ได้เป็นบริเวณกว้างครอบคลุมหลายจังหวัด หรือเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญมากๆ เช่น การเลือกจังหวัดกาญจนบุรีเป็นหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงของภาคกลางฝั่งตะวันตก เพราะเป็นพื้นที่ต้นลมของพื้นที่ภาคกลางในช่วงฤดูฝนหรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ที่สำคัญหลายแห่ง เช่น เขื่อนวชิราลงกรณ์ เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนกระเสียว เขื่อนทับเสลา เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการที่มีหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเฉพาะพื้นที่ที่มีสนามบิน ยังทำให้เกิดข้อจำกัดในกรณีไม่ทราบเงื่อนไขของสภาพเมฆปัจจุบันในบริเวณพื้นที่ห่างไกลจากหน่วยที่ตั้งปฏิบัติการฝนหลวง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติการฝนหลวงได้ในบางครั้ง
แต่กรมฝนหลวงได้แก้ปัญหาดังกล่าวด้วยความร่วมมือของพี่น้องเหล่าอาสาสมัครฝนหลวง ที่คอยส่งข้อมูลในพื้นที่ ทั้งชนิดและอายุของพืชที่ทำการเพาะปลูก สภาพความแห้งแล้งในพื้นที่ ตลอดจนภาพถ่ายสภาพเมฆ ตามที่กรมฝนหลวงได้จัดหลักสูตรอบรมเพื่อส่งให้ทีมงานของเราใช้ประกอบการวางแผนการตัดสินใจในการทำฝนในแต่ละขั้นตอนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ปัจจุบันเราได้มีการพัฒนาอาสาสมัครฝนหลวงไปแล้วจำนวนกว่า 2,000 ราย โดยกระจายอยู่ในทุกจังหวัด
อาสาสมัครฝนหลวงในหลายๆพื้นที่ได้มีการแนะนำเพื่อนเกษตรกรด้วยกัน ที่อยู่ต่างตำบล หรือ อำเภอให้สมัครเข้ารับการอบรมเพื่อจะได้มาช่วยงานกรมฝนหลวงเหมือนอย่างตน เช่น นายไมตรี ทำศรี เกษตรกรต.ลิ่นถิ่น อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรีได้สมัครเป็นอาสาสมัครฝนหลวงตั้งแต่ก่อนปี2556 สมัยที่ยังเป็นแค่สำนักปฏิบัติการฝนหลวง และมาเข้ารับการอบรมอาสาสมัครฝนหลวงอย่างเป็นทางการในปี 2561 โดยได้คอยประสานกับหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดกาญจนบุรี ให้ช่วยทำฝนให้พื้นที่การเกษตรของตนและใกล้เคียง จากการได้รับความช่วยเหลือจากกรมฝนหลวงเป็นอย่างดีเรื่อยมา จึงแนะนำให้นายสมพร เขม้นเขตการ เกษตรกร ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เข้ารับการอบรมอาสาสมัครฝนหลวงในปี 2559
พี่สมพรฯ ได้ทำการเพาะปลูกส้มโอ ทุเรียน มังคุด ลองกอง ฯลฯ โดยการใช้น้ำจากน้ำฝนทั้งฝนธรรมชาติและฝนหลวงเป็นหลัก และเสริมด้วยน้ำจากบ่อน้ำผุดส่วนหนึ่ง และจากการสูบจากแม่น้ำแควน้อยขึ้นไปเป็นระยะหลายสิบเมตร เพื่อสร้างความสมบูรณ์ให้กับผลไม้ที่ทำการเพาะปลูก รักษาคุณภาพของผลไม้ให้พึงพอใจต่อลูกค้า ทั้งนี้ผลไม้ทองผาภูมิถือว่าเป็นผลไม้ที่มีคุณภาพรสชาติดีและมีเอกลักษณ์เป็นพืชประจำถิ่น แต่ราคาก็ยังไม่ได้สูงนักด้วยการมีพ่อค้าคนกลางเหมือนกับพื้นที่อื่นๆ ดังนั้นหากได้รับความร่วมมือที่ดีจากภาครัฐและประชาชนแล้ว อาจทำให้ราคาสินค้าการเกษตรเหล่านี้สูงขึ้น เกษตรกรไทยจะได้ลืมตาอ้าปากกันได้เสียที
ในพื้นที่แห่งนี้เรายังได้รับความเมตตาจากพระอริยสงฆ์นักพัฒนาอย่างหลวงปู่สาคร ธัมมาวุโธ เจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวัน ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ผู้ก่อตั้งวัดป่าแห่งนี้มาก่อนที่จะสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ ท่านจึงมีความรู้ ความชำนาญ สภาพภูมิประเทศ และสภาพภูมิอากาศบริเวณนี้เป็นอย่างดี โดยคอยให้โยมอุปัฏฐาก ถ่ายรูปสภาพเมฆ ให้ข้อมูลเรื่องลมเปลี่ยนทิศกับทีมงานที่หน่วยกาญจนบุรีเพื่อปฏิบัติการฝนหลวงเติมน้ำให้เขื่อนต่างๆในละแวกนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
จะเห็นว่าความร่วมมือที่ใช้จุดแข็งของแต่ละคน เช่น ความรอบรู้ หรือความเชี่ยวชาญต่างๆ มาบูรณาการในการทำงานร่วมกันย่อมทำให้เกิดพลังแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ และความร่วมมือเหล่านี้ไม่มีการจำกัดแค่เพียง เพศ วัย หรือ สถานะทางสังคม ดังเช่นแม้แต่พระอริยสงฆ์ที่ต้องการช่วยเหลือสังคมให้พ้นภัยด้วยความเมตตา ด้วยภูมิปัญญา และความเชี่ยวชาญที่ท่านมี...
กราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเคารพและศรัทธา