เปลี่ยนการแสดงผล
คำว่าเพื่อน ไม่ได้มีความหมายแค่การเที่ยวเล่นชวนกินข้าวเท่านั้น
8 พฤษภาคม 2564 186 ครั้ง
คำว่าเพื่อน ไม่ได้มีความหมายแค่การเที่ยวเล่นชวนกินข้าวเท่านั้น แต่มันหมายความว่า ในยามที่เราทุกข์ เดือนร้อน ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการกำลังใจ จะมีมือมือหนึ่งที่ยื่นมาโอบกอดเราไว้ คอยปลอบโยนให้กำลังใจ คอยเตือนสติ คอยให้คำแนะนำปรึกษา และคอยช่วยคิดหาทางออกที่ดีให้กับเราเสมอ

ฉันเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อแม่รับราชการทั้งคู่ ครอบครัวเราใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบคนต่างจังหวัดทั่วไป ชีวิตแม้จะไม่ลำบากแต่ก็ไม่ได้สบาย ทุกคนในครอบครัวต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เช่น พ่อชอบปลูกต้นไม้ ดังนั้นหน้าที่ตัดหญ้าและดูแลตัดแต่งกิ่งไม้ในบ้านพ่อก็รับผิดชอบไป แม่รับผิดชอบทำอาหาร ทำไปบ่นไปแต่ก็ออกมาอร่อยทุกครั้ง สำหรับพวกเราที่เป็นลูกก็แบ่งหน้าที่กันไป คนหนึ่งล้างจาน คนหนึ่งถูบ้าน อีกคนที่เหลือก็ไปตลาดบ้าง ช่วยรดน้ำต้นไม้บ้างสลับกันไป เรา ๓ คน ถูกฝึกให้ทำอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก โตมาจึงไม่เคยรู้สึกอึดอัดหรือคิดว่าการทำงานตามหน้าที่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากหรือน่าเบื่อแต่ประการใด ตอนเด็กอาจจะมีบ่น มีหงุดหงิดบ้างเพราะความที่อยากออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน แต่สุดท้ายกฎก็คือกฎ ต้องทำงานให้เสร็จก่อนจึงจะมีสิทธิ์ทำอะไรตามที่ใจต้องการ

อาชีพรับราชการไม่ได้ทำให้ครอบครัวเรามีเงินเหลือใช้มากมาย ต้องขอบคุณพ่อกับแม่ที่วางเป้าหมายชัดเจนให้กับลูกตั้งแต่เด็กว่า จะต้องกัดฟันส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัดให้ได้ทุกคน ทั้งนี้เพื่อให้ลูกมีพื้นฐานการศึกษาที่ดีและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ในวันข้างหน้า เมื่อก่อนตอนที่ยังเด็ก เราไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลเหล่านี้เท่าไหร่ ใช้ชีวิตสนุกสนานเฮฮาไปวัน ๆ เพราะเด็กก็คือเด็ก เรื่องกิน 
เรื่องแกล้งเพื่อนคือเป้าหมายหลัก ใครรู้ชื่อพ่อชื่อแม่เพื่อนแล้วเอามาล้อเลียนได้ถือว่าเป็นยอดคน  

พวกเรา ๓ คนพี่น้อง ใช้ชีวิตวิ่งเล่นกินนอนอยู่ในรั้วโรงเรียนอนุบาล รวมแล้วก็ ๙ ปี รู้เช่นเห็นชาติกันหมดว่าใครเป็นอย่างไร ทั้งรุ่นเราและรุ่นพี่ รู้ว่าคนไหนเป็นเด็กเรียน คนไหนเป็นขาใหญ่จอมเกเร ใครชอบนอนละเมอ ใครนอนน้ำลายไหล ใครชอบแคะขี้มูก และรู้แม้กระทั่งว่าใครแอบชอบใครตั้งแต่วัยเด็ก รู้แล้วก็อย่าเอ็ดไป เด็กในช่วง ๕๐ กว่าปีที่แล้วก็แก่แดดไม่แพ้เด็กสมัยนี้เลย ชีวิตวัยเด็กในรั้วอนุบาลมีครบทุกรสชาติ ทั้งหัวเราะ 
ทั้งร้องไห้ เป็นความทรงจำที่ดีที่เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงคราวใด ก็อดหัวเราะขำกับวีรกรรมความแก่น เซี้ยว เปรี้ยว ซ่า ตอนเป็นเด็กไม่ได้

แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไป หลังจาก ๙ ปี ที่ใช้ชีวิตร่วมกันในโรงเรียนอนุบาลแล้ว แต่ละคนก็กระจัดกระจายแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง บางคนก็เรียนจบทำงานมีครอบครัวและใช้ชีวิตอยู่ในจังหวัดบ้านเกิด บางคนก็ห่างหายไปตั้งรกรากใหม่ในพื้นที่จังหวัดอื่น บางคนก็อพยพไปใช้ชีวิตครอบครัวที่ต่างแดน บางคนมีโอกาสกลับมาพบเจอกันบ้าง และก็มีหลายคนที่ห่างหายกันไปแทบไม่ได้กลับมาพบหน้า ใครเลยจะคิดว่า มิตรภาพวัยเด็กที่ดูเหมือนไม่น่าจะจีรังยั่งยืน จะกลับกลายเป็นเหนียวแน่น มีความสำคัญ และทรงอานุภาพมากกว่าที่คิดไว้เยอะ 

อย่างเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เองมีเหตุไฟไหม้แถวบ้านตอนกลางดึก แม่เป็นคนแก่อายุ ๘๕ ปีที่อยู่บ้านคนเดียว ลูก ๓ คนก็กระจัดกระจายอยู่กันคนละทิศทาง ระหว่างที่เปลวเพลิงกำลังลุกโชน เหตุเกิดขึ้นใกล้ตัวมาก ๆ แต่แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีไฟไหม้ ก็ได้พวกเพื่อนอนุบาลนี่แหละที่พอเห็นจุดเกิดเหตุและคาดว่าน่าจะมีไฟไหม้แถวบ้านแม่ จึงรีบพากันขับรถมาดูแล้วก็ช่วยกันพาแม่ออกไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ช่วงนั้นเกิดเหตุไฟไหม้ติด ๆ กันถึง ๒ ครั้ง ใกล้บ้านแม่แบบเส้นยาแดงผ่าแปด และก็ได้พวกเพื่อนอนุบาลนี่แหละที่เข้ามาดูแลช่วยเหลือทุกครั้งไป

ที่เป็นวิกฤติหนักอีกครั้งก็ตอนที่พ่อไม่สบาย ปกติพ่อเป็นคนแก่อายุ ๘๙ ปีที่แข็งแรงมาก แต่คงเป็นเพราะอายุมากแล้วสังขารก็เลยเสื่อมถอยไปตามวัย พ่อเริ่มมีอาการของคนเป็นโรคหัวใจ เหนื่อยง่าย ใจสั่น ช่วงนั้นเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาครั้งใดก็ได้เพื่อน ๆ อนุบาลนี่แหละที่คอยดูแลช่วยเหลือ ทั้งการประสานติดต่อเจ้าหน้าที่ล่วงหน้า เพื่อให้เมื่อพ่อถึงโรงพยาบาลแล้วได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างทันท่วงที คอยดูแลถามไถ่อาการ ช่วงที่เกิดวิกฤติหนักเพื่อนที่เป็นหมอบางคนถึงกับยอมเข้ามาในไลน์ของครอบครัวเพื่อที่จะช่วยวินิจฉัยอาการ ให้คำปรึกษาแนะนำและติดตามอาการอย่างทันท่วงที และยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่แม้ไม่ได้กล่าวถึง แต่อยากบอกให้เพื่อน ๆ รับรู้ว่า ทุกความช่วยเหลือที่เพื่อนมีให้กับครอบครัวเรา พวกเรารับรู้ด้วยความซาบซึ้งและขอบคุณ เพราะพ่อกับแม่จะกลับมาเล่าให้ฟังเสมอว่า วันนี้ไปไหน เจอใครมาบ้าง แล้วเพื่อน ๆ ดูแลพ่อกับแม่ดีเพียงไร

วันนี้มีโอกาสจึงอยากใช้พื้นที่นี้ในการบอกขอบคุณเพื่อนทุกคน ขอบคุณมิตรภาพวัยเด็กที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความเป็นเพื่อนก็ไม่เคยเลือนหาย มือเล็ก ๆ ที่ครั้งหนึ่งอาจจะเคยผลัก เคยแหย่ เคยแกล้ง จนทำให้เพื่อนบางคนร้องไห้เสียน้ำตา วันนี้แปรเปลี่ยนเป็นมือที่อบอุ่น แข็งแรง พร้อมที่จะหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือกันในยามที่เพื่อนเดือดร้อน ขอบคุณโรงเรียนอนุบาลสุรินทร์ ที่เป็นจุดเริ่มต้นทำให้เกิดมิตรภาพวัยเด็กที่แสนจะอบอุ่น ขอบคุณคุณครูทุกท่านที่นอกจากจะประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้จนทำให้เราเติบโตเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ไม่สร้างปัญหาให้สังคมแล้ว ยังช่วยปลูกฝัง สร้างพลังความรัก พลังความสามัคคี และพลังความร่วมมือของเลือดอนุบาลที่เข้มข้น ขอบคุณทีมคุณหมอและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสุรินทร์ทุกท่าน ที่ช่วยกันดูแลพ่ออย่างเต็มที่ การตัดสินใจในเสี้ยวนาทีชีวิต แค่หนึ่งวินาทีก็มีความหมาย ขอบคุณคุณหมอพิสมัยที่มีน้ำใจ คอยให้คำปรึกษาแนะนำตลอดช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติ และขอบคุณเพื่อนวัยเด็กทุกคนที่คอยโอบอุ้มช่วยเหลือ ดูแลพ่อกับแม่แทนพวกเรา ๓ คนพี่น้องด้วยดีเสมอมา สุดท้ายขอบคุณกรมฝนหลวงและการบินเกษตรที่เปิดพื้นที่ให้ร่วมส่งบทความ แสดงให้เห็นถึงพลังความรักและความร่วมมือกัน

สุดท้ายขอบคุณกรมฝนหลวงและการบินเกษตรที่เปิดพื้นที่ให้ร่วมส่งบทความ แสดงให้เห็นถึงพลังความรักและความร่วมมือกันของคนในสังคม ขอบคุณมิตรภาพดี ๆ ที่ช่วยสร้างให้เกิดพลังแห่งความร่วมมือที่ยิ่งใหญ่
เขียนโดย "ลอมฟาง"
ภาพและวีดีโอ