เปลี่ยนการแสดงผล
โลกนี้คือละคร
23 มิถุนายน 2564 2,626 ครั้ง
โลกนี้คือละคร

  “โลกนี้นี่ดูยิ่งดูยอกย้อน เปรียบเหมือนละคร ถึงบทเมื่อตอนเร้าใจ บทบาทลีลาแตกต่างกันไป ถึงสูงเพียงใด ต่างจบลงไปเหมือนกัน”  

  เนื้อเพลงท่อนหนึ่งจากเพลงอมตะนิรันดร์กาล โลกนี้คือละคร ซึ่งถ่ายทอดผ่านนักร้องในยุคสมัยต่างๆ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน อาทิ คุณปรีชา บุณยเกียรติ  คุณสุเทพ วงศ์กำแหง คุณอุเทน พรหมมินทร์ และอีกหลายๆท่านที่ได้ขับกล่อมบทเพลงนี้ เชื่อว่าคอเพลงไทยหลายท่านได้รับรู้ถึงการบรรยายและลีลาของเพลงนี้ได้เป็นอย่างดี เพลงนี้บรมครู ไพบูลย์ บุตรขัน เป็นผู้แต่งทั้งคำร้องและทำนองโดยท่านได้เปิดเผยว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ที่ทรงแปลจากบทละครของ วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ เรื่อง โรมิโอและจูเลียต

  ศิลปินแต่ละท่านในช่วงที่พีคของอาชีพก็ย่อมเป็นไอดอลของใครหลายๆคน ไม่ว่ายุคสมัยไหนๆ อาชีพในฝันของวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็คืออยากเป็นดารา นักแสดง นักร้อง  ผมก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น วัยรุ่นที่อยากเป็นศิลปินดารา  เดี๋ยวนี้เค้ามีโรงเรียนการแสดงในสาขาต่างๆ ทั้งไกลบ้านและใกล้บ้านให้เลือกหาเอาตามกำลังทรัพย์  แต่พอได้เรียนเข้าจริงๆ มันไม่ง่ายเลยที่จะแสดงให้เป็นตัวละครตามบทบาทสมมุติ  อินไปตามบทบาทการแสดงให้เป็นธรรมชาติ  คนดูแล้วเชื่อว่าเป็นคนในตัวแสดงนั้นจริงๆ พอคิดแล้วคงจะยากที่จะได้เป็นดาราเพราะถ้าเราไม่มีสังกัด ไม่มีคนรู้จักในวงการก็ยากที่จะได้เข้าวงการ  เปลี่ยนความฝันใหม่แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปเดิมคือสายบันเทิง  เป็นนักแสดงไม่ได้เป็นนักร้องนักดนตรีก็ได้ พ่อของผมเป็นนักดนตรีมือระนาดเอกของวงปี่พาทย์  ผมเลยมีพื้นฐานของดนตรีอยู่บ้างซึมซับมาตอนที่ดูพ่อตีระนาดนี่แหละ  ก็คนมันมีเลือดศิลปินอยู่ในตัวอะนะ...   ลุยต่อครับรวมรวมเพื่อนๆ จัดตั้งวงดนตรีของตัวเองซื่อวง “สังขยา” สายหวานซะด้วย  ผมเป็นเป็นมือคีย์บอร์ดประจำของวง   ตอนนั้นบ้านใครมีงานบวช งานแต่ง งานวัด ก็ไปขอเขาเล่น  บางงานเล่นแลกเหล้า บางครั้งเล่นฟรีก็เอา  ทุกอย่างกำลังจะไปได้ดีเริ่มมีคนสนใจติดต่อให้ส่งเทปเข้าไปที่ค่ายเพลง  แต่ก็ไปต่อไม่สุดเพราะนักร้องนำของวงประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต มือกลองก็ไปเกณฑ์ทหารจับได้ใบแดง วงแตกไปโดยอัตโนมัติ 

  เมื่ออยู่เบื้องหน้าไม่ได้  ก็เปลี่ยนไปเป็นเบื้องหลังละกัน  ไปเรียนนิเทศศาสตร์เพื่อศึกษาจะได้ทำงานเบื้องหลังอย่างจริงจัง  พอเรียนจบแล้วก็คิดว่าจะทำอะไรที่มีความมั่นคงและยังอยู่ในสายงานที่ตัวเองรักเลยตัดสินใจสอบ ก.พ. ตำแหน่งนักวิชาการเผยแพร่  เอาล่ะครับทีนี้ได้ทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังอย่างที่อยากจะทำไม่ว่าจะเป็นนักจัดรายการวิทยุ  พิธีกร  เขียนบทสารคดี  กำกับและตัดต่องานสารคดี   ตากล้อง  ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและสนุกที่สุดของชีวิต  ได้ทำงานที่เรารัก เดินสายทำงานเกือบทั่วประเทศ  เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีที่แปลกใหม่ วันๆ แทบจะไม่ได้อยู่บ้านชีวิตอยู่ที่ทำงาน กับอยู่ต่างจังหวัด  ตอนนั่นโสดครับเลยไม่ต้องห่วงอะไร  แต่เมื่อเรามีครอบครัว  ภารกิจหน้าที่การงานเรามากขึ้น  บทบาทของเราก็ย่อมเปลี่ยนไป  เราก็ต้องแสดงไปตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย  อาจจะดีบ้างไม่ดีบ้าง  แต่ก็พยายามแสดงบทบาทที่ตัวเองได้รับให้ออกมาดีที่สุด   

  ทุกๆ คนสามารถเป็นนักแสดงได้โดยไม่ต้องเป็นดาราอยู่หน้ากล้องหรือมีชื่อเสียง   เมื่อใดที่ยังคงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารก็จะต้องแสดงบทบาทต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ลองคิดดูเล่นๆก็ได้ เกิดเป็นมนุษย์ใน 1 ชาติ ก็ต้องแสดงมากมายหลายบทบาทเหลือเกิน แค่เกิดเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งก็มีตั้งหลายบทบาทมาตั้งแต่แรกเกิด รับบทแรกเป็นเด็ก เป็นลูกของพ่อแม่  แล้วรับบทเป็นพี่ของน้อง ตอนนี้รับบทเป็นสามี พออีกหน่อยรับบทเป็นพ่อ แล้วก็รับบทเป็นลุง เป็นปู่ เป็นอะไรต่อมิอะไรเรื่อยไป ถ้ายังยึดติดในบทบาท ถ้ายังคิดว่าเป็นอัตตาตัวตนของตนจริงๆ จะไม่มีวันพบกับความสงบได้เลย เพราะทุกบทบาทมีแต่ความวุ่นวาย ความหนักอกหนักใจทั้งสิ้น หากชีวิตจริงเราได้รับบทเป็นพ่อ  แม่  พี่  น้อง  เพื่อน  เจ้านาย  ลูกน้อง  เราก็ต้องแสดงบทบาทของเราให้ดีที่สุด อาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจผู้ชมบ้าง  แต่เมื่อมีการติชม เราก็นำมาปรับปรุงการแสดงของเราไปตามสถานการณ์  ให้ถูกใจผู้ชมให้มากที่สุดเท่านั่นเป็นพอ

เขียนโดย "เจริญพร"
ภาพและวีดีโอ