เปลี่ยนการแสดงผล
จำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซด์
วันนี้
125615
เดือนนี้
5714335
เมื่อวาน
231055
เดือนที่แล้ว
6919354
...วันนี้..ผมจะมาเล่าเรื่องจริงยิ่งกว่านิยายของชีวิตผม..ให้พี่ๆเพื่อนๆน้องฟังครับ
4 กรกฎาคม 2564 399 ครั้ง

...วันนี้..ผมจะมาเล่าเรื่องจริงยิ่งกว่านิยายของชีวิตผม..ให้พี่ๆเพื่อนๆน้องฟังครับ..ผม..ด.ช.ตะวัน ด้วงเว เกิดในครอบครัวที่เรียกได้ว่า ยากจน หาเช้ากินค่ำ แม้แต่ในโรงพยาบาลก็ไม่มีโอกาสเกิดกับเขา..ใช่ครับผมเกิดที่กระท่อมหลังหนึ่งกลางไร่ข้าวโพด โดยมียายเป็นทำคลอด พ่อแม่ผมมีอาชีพทำไร่ สมัยนั้น ปีพ.ศ.2523 ไร่ที่พ่อผมทำก็เป็นที่เช่าเขา ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ที่ จ.เพชรบูรณ์ ใช่ครับผมเกิดที่เพชรบูรณ์มีพี่น้อง3คน ชายล้วนผมเป็นลูกคนกลาง ผมอยู่ที่เพชรบูรณ์จนผมอายุ 7 ขวบ พ่อกับแม่ก็หอบผมกับพี่น้องออกแสวงโชคย้ายมาหาที่ทำกินที่ จ.เลย เขตติดต่อลาว กับ จ.พิษณุโลก เข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านนาเจริญ อ.นาแห้ว จ.เลย จนถึง ป.3 ระหว่างนั้นเกิดสงครามสู้รบระหว่างไทย-ลาว ใช่แล้วครับผมโตอยู่ในสมรภูมิรบ นี่เป็นชะนวนเหตุแห่งความฝัน ในวัยเด็กของผม ผมอยากเป็นทหาร เพราะคลุกคลีอยู่กับพี่ๆทหาร ทหารใจดีให้ขนมของกินอาหารการกินกับผมตลอด สนามเด็กเล่นของผมคือ หลุมบังเกอร์ หรือว่าหลุมหลบภัยนั่นเอง 

สงครามรบกันอยู่เท่าที่จำได้ก็หลายปีอยู่จนสงครามสงบลง พ่อผมจึงย้ายบ้านลงมาอยู่ในเขต จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นบ้านสร้างใหม่จากเศษไม้ที่พวกนายทุนเถื่อนตัดทิ้งไว้ ให้หลังมาผมถึงรู้ว่า มันคือชนวนเหตุแห่งสงคราม พวกเขาเรียกพ่อผมว่า รอส.ย่อมาจากราษฎรอาสา ผมย้ายมาเรียน ป.4 ที่ โรงเรียนวัดบ่อภาค อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก โรงเรียนนี้ที่ให้ทุกๆอย่างกับผม ให้อนาคตผม แม้มันจะตั้งอยู่บนเขาอันไกลโพ้นห่างจากตัวเมืองเกือบ200กิโลเมตร ผอ.คำรณ วิเศษวงษา ท่านเปรียบเสมือนพ่อคนที่สองของผม 
ผมเรียนจนจบ ม.3 ที่ โรงเรียนแห่งนี้ ผมได้โควตาเรียนต่อหลาย โรงเรียนด้วยโควตานักกีฬาช้างเผือกสมัยนั้น จบ ม.3ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.70ซึ่งเพียงพอที่จะเป็นเกรดเฉลี่ยอันดับ 1ของโรงเรียน แต่พื้นฐานครอบครัวของผมนั้น คงไม่มีความสามารถที่จะส่งผมเรียนจนจบได้แน่แม้จะเป็นโควต้าเรียนฟรีแต่ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นก็หลายอยู่ อีกอย่าง พี่ชายกับน้องชายผมอีก และแล้วก็เหมือนฟ้ามาโปรด วันนั้นครู อนันต์ แก้วแจ่มผู้มีพระคุณกับผมอีกท่านหนึ่ง ถือสมุดเล่มเล็กๆ2เล่มเดินมาในห้องเรียน แล้ว บอกว่าครูเลือกเด็กชายที่สอบได้ที่1กับที่2ของโรงเรียนไปสอบ สอบอะไร?....เดียวผมมาเล่าต่อครับ...
ใช่แล้วครับ ในมือของครูคือ ระเบียบการการรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็นนักเรียนจ่าอากาศ "นักเรียนจ่าอากาศคืออะไร?"เกิดคำถามขึ้นในใจของผม ก็ผมเด็กบ้านนอกไม่แปลกหรอกครับที่ผมจะไม่รู้จัก รู้แต่ว่ามันเป็นโอกาสของผม ถ้าผมไม่คว้ามันไว้ผมก็คงโง่เต็มที แม้จะมีโอกาสแค่ไม่กี่%เพราะการแข่งขันก็ถือว่าสูงมาก ครูพาผมมาสมัครสอบ ด้วยการเดินทางสมัยนั้นยากลำบากมาก และเทคโนโลยี ก็ไม่รองรับ ไม่มีอินเตอเนต ไม่มีอะไรเลย การสอบการประกาศผลสอบต้องเดินทางไปด้วยตัวเองอย่างเดียว ครูพาผมมาสมัครสอบที่กรุงเทพในครั้งแรก เด็กผู้ชายอายุ16 ต้องฉายเดี่ยวมาสอบเองในวันสอบจริง ด้วยการสนับสนุนทุนทรัพย์จากคุณครูที่ โรงเรียน เด็กบ้านนอกในเมืองกรุงคนเดียวนั่งรถไฟจากสถานี พิษณุโลกถึงสถานีดอนเมือง ทั้งคืนแทบไม่ได้นอน มานั่งสอบเลยแบบง่วงๆ ...
ถัดมาอีกประมาณสัปดาห์กว่าๆเป็นกำหนดประกาศผลสอบซึ่งผู้สอบต้องเดินทางไปดูผลเองไม่มีประกาศทางอินเตอร์เนตเหมือนสมัยนี้ วันนั้นเป็นวันที่ โรงเรียนที่ผมได้โควต้านักกีฬาต้องรายงานตัว ผมต้องเลือก ทางใดทางหนึ่ง ผมลังเลอยู่พักใหญ่ว่าจะไปทางใหนดี ทางหนึ่งก็เข้าได้เลยแต่ไม่มีเงินเรียนคงต้องอาศัยวัดอยู่ อีกทางหนึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสอบติดหรือไม่แต่ก็เรียนฟรีมีเงินเดือนให้จบมามีงานทำแน่นอน ...แล้วผมก็ตัดสินใจก้าวขึ้นรถไฟ ทิ้งโควต้านักกีฬาไว้ข้างหลัง....แต่เป็นการตัดสินใจที่ถูกครับ ผมสอบติดข้อเขียนโรงเรียนจ่าอากาศ เหล่า ช่างอากาศ จุดเริ่มต้นของความเป็นผมมาทุกวันนี้ แต่ยังเหลืออีกหลายรอบเหลือเกินที่ต้องฝ่าทั้งทดสอบสมรรถภาพร่างกายทั้งสอบสัมภาษทั้งตรวจร่างกาย ,สอบความถนัดทางทหาร แต่ผมก็ผ่านมันมาได้ จากความอุปการคุณจาก คุณครูทั้ง2ท่าน จนผมได้เข้าเรียน 3ปีใน รั้วโรงเรียนทหาร...ของผม
จากเด็กบ้านนอกหลังเขาเข้ามาอยู่ในรั้วโรงทหารในเมืองกรุงผ่านความสุขความทุกข์ คิดถึงบ้านคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ บางทีก็ท้อ แต่บอกตัวเองเสมอว่าเพื่ออนาคต จนจบ ปี3 ติดยศจ่าอากาศตรี พร้อมตำแหน่งบรรจุ ช่างเครื่องวัดและไฟฟ้า หมู่ตรวจซ่อม ฝ่ายการช่าง ฝูงบิน461 กองบิน 46 จุดกำเนิด จ.ต.ตะวัน ด้วงเว บนเส้นทาง ทหารและช่างเครื่องบิน..

ปัจจุบัน ผมลาออกจากกองทัพอากาศ ด้วยยศ สุดท้าย พันจ่าอากาศเอก ด้วย อายุราชการ 29ปี และเป็นช่างเครื่องบิน(พรก.)ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ...ความฝันของผมในวัยเด็กบวกกับโอกาส ความพยายาม ความช่วยเหลือของผู้มีพระคุณหลายๆท่าน พ่อกับแม่ ส่งให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้...ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ...คติประจำใจ ผมคือ "ไม่ถึงต้องเขย่ง ไม่เก่งต้องขยัน"

เขียนโดย "ตะวัน"


ภาพและวีดีโอ