รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวมองโกเลีย เยี่ยมชมและร่วมหารือโครงการ
ความร่วมมือด้านการดัดแปรสภาพอากาศไทย-มองโกเลีย กับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร
30 พฤศจิกายน 2565
368
ครั้ง
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม รองอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตรด้านปฏิบัติการ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ให้การต้อนรับ ฯพณฯ บัตเออร์เดเน บัตอุลซี (H.E Mr. BAT - ERDENE Bat- Ulzii) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวมองโกเลีย และฯพณฯ ทูมูร์ อามาร์ซานา (H.E. Mr. Tumur Amarsanaa) เอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย เพื่อหารือโครงการความร่วมมือด้านการดัดแปรสภาพอากาศระหว่างไทยกับมองโกเลีย และประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยมีนายภักดี จันทร์เกษ ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีฝนหลวง เข้าร่วมให้การต้อนรับ
นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม รองอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ด้านปฏิบัติการ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่าความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการดัดแปรสภาพอากาศระหว่างไทยกับมองโกเลีย เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2557 เมื่อเอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย มีหนังสือถึงสำนักราชเลขาธิการ เรื่อง ประธานาธิบดีแห่งประเทศมองโกเลีย ขอให้นำความกราบทูลสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อขอรับการสนับสนุนการจัดอบรมการปฏิบัติการฝนหลวงให้กับเจ้าหน้าที่มองโกเลีย เพื่อนำเทคโนโลยีฝนหลวงไปใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำฝนของประเทศ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ระหว่างสองฝ่ายมาโดยตลอด จนนำไปสู่การลงนามแผนงานปฏิบัติการร่วม เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564 เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการดัดแปรสภาพอากาศ เสริมสร้างขีดความสามารถ
ในการบรรเทาความแห้งแล้ง และลดความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนของทั้งสองประเทศ
นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม กล่าวต่อด้วยว่า ปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในการดำเนินโครงการความร่วมมือ คือความมุ่งมั่นตั้งใจ ความร่วมมืออย่างจริงใจของทั้งสองฝ่าย และความช่วยเหลือเกื้อกูลในการแก้ไขปัญหา จนสามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร มีความยินดีและพร้อมที่จะสนับสนุน และขับเคลื่อนการดำเนินงานความร่วมมือให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ให้บรรลุวัตถุประสงค์รวมทั้งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบุคลากรของทั้งสองฝ่ายจะได้รับการพัฒนาขีดความสามารถ และนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปพัฒนา ต่อยอด และปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง องค์กร ประชาชนและประเทศชาติต่อไป