เปลี่ยนการแสดงผล
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและการปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี
10 เมษายน 2559 22,072 ครั้ง

วันที่ 10 เมษายน 2559 เวลา 13.30 น. พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ อธิบดีกรมชลประทาน นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและการปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี  จากนั้นได้มอบเงินโครงการตามแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้ง ปี 2558/59 (มาตรการที่ 4) จำนวน 143 โครงการ 39.28 ล้านบาท แก่ผู้แทนเกษตรกร พร้อมตรวจเยี่ยมจุดแจกน้ำอุปโภคบริโภคเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร

พลเอกฉัตรชัย    กล่าวถึงสถานการณ์น้ำและการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อบรรเทาภัยแล้งและการเติมน้ำลงในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ในขณะนี้ว่า       สำหรับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีความจุประมาณ 960 ล้านลูกบาศก์เมตร     ข้อมูล ณ. วันที่ 9 เมษายน 2559     มีน้ำใช้การได้ประมาณ 290 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือ 30%   ปัจจุบันเขื่อนป่าสักฯมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำพระเจ้าพระยา    โดยสามารถส่งน้ำเข้ามาช่วยเหลือการอุปโภค-บริโภคในชุมชนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ปทุมธานีและกรุงเทพมหานคร  อีกทั้งสามารถนำน้ำจากเขื่อนป่าสักฯมาช่วยในการรักษาระบบนิเวศน์ผลักดันน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดจนส่งน้ำเพื่อการเกษตรกรรม การท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมในระบบลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างได้อย่างทันท่วงที  มากกว่าที่จะรอน้ำที่มาจากแหล่งน้ำต้นทุนในเขื่อนขนาดใหญ่ทางภาคเหนือ อาทิ  เขื่อนภูมิพล  เขื่อนสิริกิต์  เป็นต้น  ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางของน้ำมากกว่าการนำน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มาใช้

พลเอกฉัตรชัย    กล่าวด้วยว่า     เพื่อเป็นการแก้ปัญหาสภาวะฝนทิ้งช่วงและวิกฤติภัยแล้งที่รุนแรง   ยังได้มอบหมายให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรร่วมกับกรมชลประทานใช้พื้นที่โครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เป็นพื้นที่ในการปฏิบัติงานภายใต้  “โครงการบริหารจัดการน้ำแบบครบวัฏจักรน้ำพื้นที่โครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์”  หรือ R-Square  Project     เป็นการร่วมมือบริหารจัดการน้ำจากชันบรรยากาศสู่น้ำท่าผิวดิน    โดยนำร่องที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เป็นเขื่อนแรก     กำหนดให้ดำเนินการระหว่างปี 2559 - 2561  โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์  เพื่อวางแผนการปฏิบัติการฝนหลวง  ให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการน้ำของชลประทาน  ตลอดจนสำรวจและประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ชลประทานและนอกเขตชลประทาน โดยใช้การสำรวจระยะไกล     เช่น  สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำ    พื้นที่ประสบภัยแล้งในเขตพื้นที่ชลประทาน    รวมทั้งแผนในการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำและพื้นที่เกษตรกรรม   ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการทำเกษตรกรรมในพื้นที่ภาคกลางที่เป็นแหล่งปลูกข้าวแหล่งใหญ่ของประเทศ  และการสำรองน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำหลักที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนในพื้นที่ภาคกลาง    ตลอดจนการอุปโภค-บริโภค การรักษาระบบนิเวศน์ การผลักดันน้ำเค็ม การเกษตรกรรม   การท่องเที่ยวและการอุตสาหกรรม      

ด้านนายเลอศักดิ์     ริ้วตระกูลไพบูลย์     อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร     กล่าวถึงความคืบหน้าในการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเติมน้ำลงในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสักที่ผ่านมาว่า   จากการปฏิบัติการของหน่วยเคลื่อนที่เร็ว 2 หน่วยครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก  ได้แก่   หน่วยนครสวรรค์และพิษณุโลกระหว่าง 1 พฤศจิกายน 2558 – 14 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา    สามารถขึ้นปฏิบัติการได้ 5 วัน จำนวน 28 เที่ยวบินพบว่า มีฝนตกทั้ง 5 วัน    โดยรวมแล้วสามารถเติมน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ได้ 11 ล้านลูกบาศก์เมตร    ซึ่งหลังนั้นได้ใช้ปฏิบัติการตามแผนปฏิบัติการประจำปี   โดยได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 – ปัจจุบัน    สามารถขึ้นปฏิบัติการได้ 5 วัน จำนวน 10 เที่ยวบิน    พบว่ามีฝนตกทั้ง 5 วัน โดยรวมแล้วสามารถเติมน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ได้ 0.54 ล้านลูกบาศก์เมตร  

ส่วนผลดำเนินการในการปฏิบัติการฝนหลวงในทุกภาคของประเทศ   ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ถึงปัจจุบัน รวม 34 วัน     มีปฏิบัติการฝนหลวงรวม 457 เที่ยวบิน    ส่งผลให้เกิดฝนตกใน 43 จังหวัด แบ่งเป็น ภาคเหนือ 8 จังหวัด ภาคกลาง 12 จังหวัด ภาคอีสาน 9 จังหวัด ภาคตะวันออก 7 จังหวัด ภาคตะวันตก 3 จังหวัด ภาคใต้ 4 จังหวัด มีพื้นที่ฝนตกรวม 42 ล้านไร่ มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อน 13 เขื่อน รวม 47 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในดินและเติมน้ำในเขื่อนได้

 

 

 

 

 

 

ภาพและวีดีโอ